tag:blogger.com,1999:blog-28541620205738507442024-03-13T08:40:26.140+07:00AimBestDesign Blogรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์และข่าวสารเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน รวมทั้งสอนเทคนิคและเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจด้าน ITAimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.comBlogger21125tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-56717901481688088632015-02-09T08:00:00.000+07:002015-02-09T08:00:01.213+07:00ใช้ Chrome แบบไม่เก็บประวัติการเข้าชม (Incognito)ในปัจจุบันนี้ อินเตอร์เน็ต ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล ใช้เพื่อทำงาน ใช้เพื่อความบันเทิง ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร หรือแม้กระทั่งการธุรกรรมต่างๆ ก็ล้วนสามารถทำได้ผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น ซึ่งการที่เราจะท่องอินเตอร์เน็ตได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องใช้โปรแกรม Web Browser ได้แก่ IE, Firefox, Chrome, Safari, ฯลฯ เพื่อเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ต<br />
<a name='more'></a><br />
การที่เราท่องอินเตอร์เน็ตหรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆนั้น Web Browser ของเราจะทำการเก็บประวัติการเข้าชม หรือประวัติการ Download ข้อมูลต่างๆไว้ใน Web Browser ของเราโดยอัตโนมัติด้วย ซึ่งก็มีประโยชน์คือจะช่วยให้เราสามารถย้อนกลับไปดูประวัติการเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆที่เราเคยเยี่ยมชมได้ แต่ในบางกรณี ที่เราอาจต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ร่วมกับผู้อื่น บางครั้งเราก็อาจไม่อยากที่จะให้ผู้อื่นมาสอดส่องประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆของเรา วิธีแก้วิธีหนึ่งก็คือการลบประวัติการเข้าชมของเราซะ แต่ในหลายๆครั้งเราก็อาจเผลอลืมลบประวัติการเข้าชมของเรา ผมจึงขอเสนออีกวิธีหนึ่งคือ วิธีการเยี่ยมชมเว็บไซต์บน Chrome แบบไม่ให้ Web Browser เก็บประวิติการเข้าชมเว็บไซต์ของเรากันครับ<br />
<div>
<br /></div>
<div>
วิธีใช้ Chrome แบบไม่เก็บประวัติการเข้าชม (Incognito Mode)</div>
<div>
<ol>
<li>ดับเบิ้ลคลิก ที่ไอคอน Chrome เพื่อเปิด Chrome ขึ้นมาตามปกติ</li>
<li>คลิกที่ <img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHjK86VcwM8JRzfJaMd5cGx_vzC3mdZW0BOqe00n5AVWfRSWdZ2PgnN4FawmuvEmZZSt3TtNQkiUIvJmLugA_8c7lXJcHETY6CbBz0EtRfeD9pfoT9jE-g3WrOw_coy2WiwEyYLpfIrvQ/s1600/menu.png" /> ตรงมุมขวาบนของ Chrome</li>
<li>คลิกที่ New incognito window เพื่อเข้าสู่โหมดไม่ระบุตัว</li>
<li>เข้าชมเว็บไซต์ตามปกติ โดยใช้หน้าต่าง Chrome ที่เปิดขึ้นมาใหม่</li>
</ol>
<div>
เพียงเท่านี้เราก็สามารถเข้าชมเว็บไซต์บน Chrome ได้อย่างสบายใจ เพราะเว็บไซต์ต่างๆที่เราเยี่ยมชมบน Chrome นั้น จะไม่ถูกทำการเก็บประวัติการเข้าชมของเราไว้ ซึ่งเราก็ไม่ต้องการคอยลบประวัติการเข้าชมเว็บไซต์บ่อยๆ</div>
</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-29540316591868222992015-02-02T08:00:00.000+07:002015-02-04T10:36:01.574+07:00ดูสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ด้วย Google Webmaster Tools<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiP-s5dUf7JpLdCT3jKHcHHowDGhLC2r7_2EXJBvafM3VH2yt0yQS1164rxdtB0yiI07z7nc6MwHg2E8X3RZMZnU71R9T2fImXH1WRoEAhlXBU-3kc2uRFN76-tpiEDQbzgBvpPEYlmovQ/s1600/webmaster-tools.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiP-s5dUf7JpLdCT3jKHcHHowDGhLC2r7_2EXJBvafM3VH2yt0yQS1164rxdtB0yiI07z7nc6MwHg2E8X3RZMZnU71R9T2fImXH1WRoEAhlXBU-3kc2uRFN76-tpiEDQbzgBvpPEYlmovQ/s1600/webmaster-tools.png" height="292" width="640" /></a></div>
Google Webmaster Tools เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการ รายงานสถิติของช่องทางการเข้าถึงเว็บไซต์ของเราอย่างละเอียด ซึ่งจำเป็นมากสำหรับผู้ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะ Google Webmaster Tools นี้ นอกจากจะช่วยเก็บและรายงานสถิติเกี่ยวกับช่องทางการเข้าถึงเว็บไซต์ให้เราแล้ว ยังช่วยวิเคราะห์ปัญหาและสิ่งที่ควรปรับปรุง หรือพัฒนาให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นหาและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
Google Webmaster Tools นี้เป็นบริการ ฟรี จาก Google ครับ โดยสามารถเข้าไปได้ที่ www.google.com/webmasters/tools<br />
สมัครสมาชิกแล้วสามารถใช้งานได้เลย หรือถ้าใครใช้ Gmail อยู่แล้วก็เข้าได้เลย ไม่ต้องสมัครสมาชิกใหม่<br />
<br />
<h3>
Google Webmaster Tools ทำอะไรได้บ้าง ?</h3>
<br />
<ol>
<li>เก็บและรายงานสถิติจำนวนครั้งของการคลิกและจำนวนครั้งที่เว็บไซต์ของเราแสดงบนผลการค้นหาบน Google จาก คำค้นหา (Keyword) แต่ละคำ<br /><br /><u>สามารถดูได้โดย</u> จะอยู่บนหน้า กระดานข้อมูลเว็บไซต์ (Dashboard)<br /><br /><u>ประโยชน์คือ</u> ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่า คนส่วนใหญ่ เข้ามาเว็บไซต์ของเราด้วยคำค้นหาว่าอะไร เพื่อให้เราสามารถ ปรับปรุงเนื้อหาในเว็บไซต์เรา ให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ชมส่วนใหญ่</li>
<li>เก็บและรายงานสถิติจำนวนครั้งของการเข้าถึงเว็บไซต์เทียบกับเวลาแบบเป็นกราฟ<br /><br /><u>สามารถดูได้โดย</u> บนแถบเมนูด้านซ้าย คลิกที่ ปุ่มคำค้นหา (Keyword) บนหน้า กระดานข้อมูลเว็บไซต์<br /><br /><u>ประโยชน์คือ</u> ทำให้เราทราบว่าช่วงวันไหนบ้างที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์เข้าถึงเว็บไซต์ของเรา และบอกถึงอัตราการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ของเรา</li>
<li>เก็บและรายงานสถิติจำนวนและที่มาของ Link ที่ Direct มาที่เว็บไซต์เรา<br /><br /><u>สามารถดูได้โดย</u> บนแถบเมนูด้านซ้าย คลิกที่ ปริมาณการค้นหา > ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ<br /><br /><u>ประโยชน์คือ</u> ช่วยให้เรารู้ว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างที่พูดถึงหรืออ้างอิงเว็บไซต์ของเรา ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีเว็บไซต์อื่นนำบทความของเราไม่แชร์ต่อ เป็นตัวบ่งชี้ว่าบทความเรามีคุณภาพ คู่ควรต่อการบอกต่อ</li>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความสามารถทั้งหมดของ Google Webmaster Tools ครับ ซึ่งต้องมีภาคต่อแน่นอนครับสำหรับบทความนี้ ยังไงผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ครับ</div>
<div>
<br /></div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-67862908193864649552015-01-30T17:20:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.765+07:00Laptop จอฟ้า ไม่ดับ ใช้งานได้ แต่เป็นสีฟ้าทั้งจอไม่รู้มีใครเคยเจออาการแบบเดียวกับผมมั้ยครับ คือเมื่อวานใช้ Laptop ทำงานอยู่ตามปกติ แต่พอปิดเครื่องไป ตื่นเช้ามาเปิดเครื่องอีกที พบว่า จอ Laptop เราเป็นสีฟ้าหมดเลย ทั้ง ตัวหนังสือ Wallpaper Mouse และ Icon ต่างๆ กลายเป็นสีฟ้าหมด ลองพับจอ Laptop ก็เหมือนจะหายแปบนึง แล้วก็เป็นอีก<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ผมเลยลองหาวิธีแก้ดูตามอินเตอร์เน็ตก็ไม่พบ เจอแต่วิธีแก้จอฟ้า แบบที่เค้าเรียกกันว่า Blue Screen of the death (จอฟ้าแห่งความตาย) มีข้อความ Error ขึ้นหน้าจอเยอะๆ แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ทำการ Restart ตัวเอง ผมเลยลองแก้ไขด้วยตัวเอง และในที่สุด Laptop ก็กลับมาเปิดใช้งานได้ตามปกติ จนถึงปัจจุบัน ใช้งานผ่านมา 6 เดือนแล้วก็ยังปกติอยู่ไม่มีอาการใดๆ ยังไงลองมาดูวิธีแก้ของผมกันดูนะครับ<br />
<br />
<h3>
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น</h3>
<ol>
<li>Laptop สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ทุกอย่างเป็นสีฟ้าหมดเลย</li>
<li>บางครั้งกดปุ่ม Power เปิด Laptop ไฟติด ได้ยินเสียงพัดลม แต่หน้าจอไม่ติด มืดสนิท<br />ลองปิดเครื่อง แล้วเปิดใหม่ก็ไม่หาย หน้าจอไม่ติดเหมือนเดิม<br /><br /></li>
</ol>
<h3>
วิธีแก้ไขอาการจอฟ้าแบบใช้งานได้ปกติแต่หน้าจอเป็นสีฟ้า</h3>
<div>
<ol>
<li>ลองขยับหน้าจอดูครับ บางทีสายไฟที่เชื่อมตัวเครื่อง Laptop เข้าหาหน้าจออาจชำรุด หรือมีฝุ่นจับเยอะ</li>
<li>ทำความสะอาดเครื่องในเบื้องต้นโดยเอาไดเป่าผม เลือกแบบไม่ร้อนนะครับ เป่าๆ เครื่องให้ฝุ่นออกมา</li>
<li>ใช้แปรงปัดฝุ่นออกจาก Keyboard ทำความสะอาดให้เอี่ยมเหมือนใหม่</li>
<li>*ขั้นตอนนี้ จะทำให้เครื่องหมดประกัน ดังนั้นถ้าเครื่องใครยังอยู่ในประกัน แนะนำให้นำเครื่องไปเคลมแทนนะครับ ส่วนสำหรับคนที่หมดประกันแล้ว ให้แกะใต้เครื่องครับ แล้วเป่าฝุ่นทำความสะอาดเครื่องให้สะอาด ขั้นตอนนี้ต้องระวังให้มากนะครับ อย่าใช้ลมร้อนเด็ดขาด เพราะจะทำให้เครื่องเสีย และเมื่อเป่าทำความสะอาดแล้ว ให้ปิดฝากลับเข้าไปเหมือนเดิม</li>
<li>ลองถอดแบตเตอรี่ออก แล้วเสียบสายชาร์จเข้ากับ Laptop แล้วลองเปิดเครื่องดูอีกทีครับ</li>
<li>ถ้ายังไม่หาย ยังไม่ต้องปิดเครื่องนะครับ เปิดเครื่องรอไว้สัก 5 - 10 นาที จากนั้นปิดเครื่องแล้วลองเปิดเครื่องใหม่อีกที ก็จะเปิดเครื่องได้ตามปกติ<br /><br /></li>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือวิธีการแก้จอฟ้าที่ผมลองทำแล้วได้ผลนะครับ ถ้าเกิดว่าใครลองแล้วไม่หาย ก็แสดงว่า อาจมีสาเหตุอื่นนอกจากฝุ่นจับเยอะ เช่น การ์ดจอเสีย สายไฟในเครื่องชำรุด ฯลฯ บางเครื่องการ์ดจอเสียเร็วก็มาจากฝุ่นนี่แหละครับ ถ้าเครื่องมีฝุ่นจับมาจะทำให้เครื่องระบายความร้อนได้ไม่ดี และอุณหภูมิเครื่องจะสูงเกินไป ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ เสียเร็วขึ้น ดังนั้นอย่าลืมหมั่นทำความสะอาดเครื่องกันบ่อยๆ ด้วยนะครับ</div>
</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-52511665728427742972015-01-28T13:31:00.001+07:002016-09-19T19:24:29.761+07:00เราควรเปิดใช้ Screensaver บนคอมพิวเตอร์หรือไม่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTwUsYGuDnMi32yILoLR1C1FPXC2VrShnFUkQoQAyMivBCfxAqp_IueSiZKeZG0jxUid0-Vz8c8CrWKdzNj906GUKFBXhlcQV4k6AUALQv37WrOr2XT7wUZYVoRb4gFVvWfB3ykkjhwhE/s1600/screen-saver.png" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTwUsYGuDnMi32yILoLR1C1FPXC2VrShnFUkQoQAyMivBCfxAqp_IueSiZKeZG0jxUid0-Vz8c8CrWKdzNj906GUKFBXhlcQV4k6AUALQv37WrOr2XT7wUZYVoRb4gFVvWfB3ykkjhwhE/s1600/screen-saver.png" height="177" width="320" /></a></div>
<b>Screensaver</b> หรือ ภาพเคลื่อนไหวเพื่อถนอมหน้าจอ ที่ติดมากับ Windows ทุกๆรุ่นๆนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนคงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว บางคนเลือกที่จะเปิดใช้งาน แต่บางคนก็เลือกที่จะปิดใช้งาน Screensaver ก็นำมาสู่คำถามที่ว่า แล้วเราควรจะปิดหรือว่าเปิดใช้งาน Screensaver<br />
<a name='more'></a><br />
เราลองมาดูข้อดีและข้อเสียของการเปิดใช้งาน Screensaver กันดูครับว่ามีอะไรบ้าง<br />
<h3>
<br />เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการเปิดใช้งาน Screensaver</h3>
<h3>
<br />ข้อดีของการเปิดใช้งาน Screensaver</h3>
<br />
<ul>
<li><u>ช่วยถนอมหน้าจอ</u><br />นี่เป็นหน้าที่หลักของ Screensaver ครับ ซึ่งการเปิด Screensaver จะช่วยถนอมหน้าจอจากการเสียของจอภาพ ซึ่งถ้าเราเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเราไว้เฉยๆ เป็นภาพนิ่งแล้วทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้จอเสีย อาจเห็นเป็นจุดสี ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นบนหน้าจอครับ</li>
<li><u>เพื่อความสวยงาม และความบันเทิง</u><br />Screensaver ในปัจจุบันมีให้เลือกดาว์นโหลดมาใช้กันมากมายครับ ทั้งที่เป็นภาพคน สัตว์ สิ่งของ หรือ วิวทิวทัศน์สวยๆ ทั้งแบบมีเสียงประกอบหรือไม่มีเสียง ซึ่งก็ช่วยให้เราได้ผ่อนคลาย พักสายตาไปในตัว</li>
<li><u>ใช้เพื่อสื่อสารหรือประชาสัมพันธ์</u><br />ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อดีที่สำคัญครับ จะเห็นว่าคอมพิวเตอร์ตามร้านขายคอมพิวเตอร์ หรือตามร้านค้าอื่นๆ เค้าจะเปิด Screensaver ไว้ โดยภาพ Screensaver จะเป็นภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์ธุรกิจ เช่น โบร์ชัวร์ แคตตาล็อกสินค้า ข้อความประกาศ หรือโปรโมชันต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าการเปิดเป็น Screensaver เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ ย่อมดีกว่าเปิดเป็นภาพนิ่งทิ้งไว้ เพราะจะทำให้จอภาพเสียได้</li>
<li><u>ใช้เพื่อ Lock หน้าจอ</u><br />Screensaver สามารถใช้ Lock หน้าจอได้ด้วยนะครับ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาใช้คอมพิวเตอร์ของเรา โดยจะต้องกรอกรหัสผ่านก่อนเข้าใช้งาน</li>
</ul>
<h3>
ข้อเสียของการเปิดใช้งาน Screensaver</h3>
<div>
<ul>
<li><u>เปลืองไฟ</u><br />การเปิดหน้าจอโดยมีภาพเคลื่อนไหวด้วย แน่นอนครับว่าต้องกินไฟมากขึ้น ยิ่งถ้ามีเสียงประกอบด้วยก็ยิ่งกินไฟมากขึ้นไปอีก ถ้าเกิดว่าคุณห่วงเรื่องค่าไฟ ผมแนะนำว่าให้เปลี่ยนไปเป็นปิดหน้าจอ แทนการใช้ Screensaver จะดีกว่าครับ<br /><br />ในกรณีที่คอมพิวเตอร์เป็น Laptop บางคนเผลอเปิด Screensaver ทิ้งไว้ทำให้ Battery หมดเร็วขึ้น ซึ่งถ้าไม่ได้เสียบชาร์จไฟไว้ก็จะทำให้เครื่องดับเร็วขึ้น ซึ่งถ้าหากว่าทำงานอะไรค้างไว้อยู่ แล้วยังไม่ได้ Save งาน แต่คอมพิวเตอร์ดันดับไปซะก่อน ก็แย่เลยครับ</li>
</ul>
<div>
และทั้งหมดนี้ก็คือ ข้อดีและข้อเสียของการเปิดใช้งาน Screensaver ครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า Screensaver มีทั้งประโยชน์และโทษแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ถ้าถามว่าเราควรจะเปิด หรือปิด Screensaver ดี ก็ขึ้นอยู่กับคุณเลยครับ ว่าจะใช้งานในลักษณะไหน ส่วนในครั้งหน้าผมจะมีบทความอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ</div>
</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-76621067637688770522015-01-10T21:00:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.769+07:00เทคนิคการใช้ Google แบบที่คุณอาจยังไม่รู้ในยุคปัจจุบันนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า Google ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราไปซะแล้ว เพราะ Google หรือที่บางคนเรียกกันว่า อากู๋ เป็น Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาชื่อดังที่เป็นที่นิยมกันมากในทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าเราจะสงสัยเรื่องอะไร อยากจะหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไร หลงทางไปทางไหนดี ก็ต้องเรียกหา Google กันทั้งนั้น แต่คุณทราบหรือไม่ว่า Google สามารถทำได้มากกว่าการค้นหาข้อมูลซะอีก จะเป็นอะไรบ้างนั้นลองมาดูเทคนิคการใช้ Google กันเลยครับ<div>
<a name='more'></a><br /></div>
<h3>
เทคนิคการใช้ Google แบบที่คุณอาจยังไม่รู้</h3>
<div>
<ol>
<li><u>ใช้ Google แทนเครื่องคิดเลข</u><br /><br />แปลกแต่จริง Google คิดเลขได้ด้วย ถ้าไม่เชื่อ ลองพิมพ์สมการหรือสูตรการคำนวณในฟอร์มค้นหาดูเลยครับ ยกตัวย่างง่ายๆ เช่น 5+5, 15^3, sqrt(49) <br /><br />นอกจากนี้ไม่ว่าสูตรจะยากขนาดไหน Google ก็คำนวณได้หมด <br />ยกตัวอย่างเช่น 5+(-sqrt(1-x^2-(y-abs(x))^2))*cos(30^2))) <br />ลองใส่ดูครับ Google จะเล่นให้คำตอบออกมาเป็น กราฟเลย น่าทึ่งจริงๆ<br /></li>
<li><u>ใช้ Google แปลงค่าเงิน</u><br /><br />ที่ว่าแปลงค่าเงินนี่ไม่ใช่ว่าแค่บอก Rate มาให้เราอย่างเดียวนะครับ แต่ Google ยังคำนวณมาให้เสร็จเลย สะดวกจริงๆ <br /><br />ไม่เชื่อลองพิมพ์ [ 10000 บาท กี่ ปอนด์ ] ลงใน Google ดูครับ แปลงค่าเงินมาให้เราเรียบร้อยเลย ลองเล่นดูครับ สนุกดีนะ<br /></li>
<li><u>ใช้ Google แปลภาษา</u><br /><br />อันนี้ผมว่าหลายๆ คนคงทราบกันอยู่แล้ว แต่บอกไว้เผื่อคนที่ยังไม่ทราบแล้วกันนะครับ<br />Google ช่วยเราแปลคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้จากฟอร์มค้นหาเลย โดยพิมพ์คำว่า แปล ลงไป<br /><br />ยกตัวอย่าง เช่น [ แปล friend ] Google ก็จะแปลออกมาให้เราว่า Friend เป็น คำนามที่แปลว่าเพื่อน แถมมีเสียงพูดให้เสร็จ เรียกได้ว่าเป็น Talking Dictionary (พจนานุกรมพูดได้) อย่างดีเลยทีเดียว<br /> </li>
<li> <u>ใช้ Google ดูสภาพอากาศและพยากรณ์อากาศในเขตพื้นที่ต่างๆ</u><br /><br />Google สามารถบอกสภาพอากาศได้ละเอียดจริงๆครับ และนอกจากนั้น Google ยังคำนวณมาให้เราเป็น % โอกาสการเกิดฝนตกอีกด้วย น่าตกใจจริงๆ<br /><br />ยกตัวอย่างเช่น พิมพ์ [ อากาศ ลาดพร้าว ] ลงไปในฟอร์มค้นหาของ Google<br />Google จะบอกสภาพอาการเรามาอย่างละเอียดยิบเลย ทั้งอุณหภูมิ เมฆมากหรือน้อย แรงลม ความชื้น และโอกาสเกิดฝนตก มาเป็นช่วงๆ เวลาราย 3 ชั่วโมง สุดยอดมากครับ<br /></li>
<li><u>ใช้ Google แปลงหน่วยวัดต่างๆ</u><br /><br />Google ช่วยแปลงหน่วยวัดต่างๆ ให้เราด้วย บอกตรงๆเลยว่า ช่วยให้ชีวิตพวกเราง่ายขึ้นเยอะครับ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนัก ระยะทาง ระยะเวลา แปลงได้หมด<br /><br />ยกตัวอย่างเช่น [ 840 นาที กี่ ชั่วโมง ] [ 840 กรัม กี่ กิโลกรัม ] [ 5000 เซนติเมตร กี่ เมตร ] เป็นต้น <br />ไปลองพิมพ์เล่นดูนะครับ สะดวกมาก<br /></li>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือเทคนิควิธีการใช้ Google แบบที่คุณอาจจะยังไม่ทราบนะครับ ซึ่งก็ทำให้พอเห็นภาพได้ว่า Google ไม่ได้เป็นแค่ Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาเพียงอย่างเดียว จริงๆแล้ว มีมากกว่านี้อีกแต่สำหรับบทความนี้เอาไปเท่านี้ก่อนนะครับ ซึ่งผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก้ทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ และส่วนในบทความต่อไปจะเป็นเทคนิคอะไรอีกนั้น อย่าลืมติดตามอ่านกันด้วยนะครับ</div>
</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-21762700020555112622015-01-05T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:54:02.605+07:00วิธีแก้โทรศัพท์มือถือ Android ช้าลงหลังจากที่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy Note 2 ที่มี OS เป็น Android มาสักพัก รู้สึกว่ามันช้าลง ไม่ลื่นเหมือนตอนซื้อเครื่องมาใหม่ๆ จะเปิดอะไรก็ช้าไปหมด จะเปิด Gallery ดูรูป รูปก็โหลดช้า เลื่อนหน้าจอก็กระตุกๆ ไม่ลื่นเหมือนเมื่อก่อน ผมเลยลองหาวิธีที่จะเพิ่มความเร็วโทรศัพท์มือถือให้กลับมาเร็วลื่นเหมือนตอนซื้อเครื่องมาใหม่ ผมเลยเอามาฝากกันครับ<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ขั้นตอนต่อไปนี้จะเป็นวิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์มือให้กลับมาเร็วเหมือนตอนซื้อเครื่องมาใหม่ๆ<br />
<br />
<h3>
วิธีแก้โทรศัพท์มือถือ Android ช้าลง ให้กลับมาเร็วเหมือนใหม่</h3>
<br />
<br />
<ol>
<li><u>ปิด App ที่ไม่ได้ใช้งานให้หมด</u><br /><br />ถึงแม้ว่าเราจะปิด App โดยการกดปุ่ม Back หลายๆครั้ง หรือกด Exit จากใน App แต่บาง App ก็ไม่ได้ปิดไปจริงๆ แต่กลับยังทำงานอยู่ทำให้เครื่องช้าลง สาเหตุก็เป็นเพราะว่า Android จะยังไม่ปิด App ไป 100% ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเข้า App ครั้งต่อไปจะเร็วขึ้น</li>
<ol>
<li>วิธีการปิด App ทั้งหมด ให้เรากดปุ่ม Home ที่อยู่ตรงกลางระหว่างปุ่ม Back กับ ปุ่ม Menu ค้างไว้</li>
<li>กดที่รูปกากบาท ตรงมุมขวาล่างของจอ เพื่อปิด App ทั้งหมด<br /><br /></li>
</ol>
<li><u>ลบ App ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วออกให้หมด</u><br /><br />บาง App ถึงแม้เราจะไม่ได้เปิดใช้งาน แต่บาง App ก็จะเริ่มทำงานในเครื่องเราตั้งแต่ตอนเราเปิดเครื่อง ดังนั้นการลบ App ที่เราไม่ได้ใช้ออกไปก็ช่วยได้เช่นกัน<br /><br /></li>
<li><u>ใช้ Memory Card แทนการใช้ Internal Space หรือพื้นที่ในเครื่อง</u><br /><br />การใช้ Memory Card หรือ SD Card จะช่วยให้มือถือของเราเร็วขึ้น เนื่องจากเราไม่ต้องไปแบ่งใช้พื้นที่จากในเครื่อง<br /><br /></li>
<li><u>อย่าใช้ Live Wallpaper ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว แต่ให้ใช้เป็นภาพนิ่งแทน</u><br /><br />ความสวย ไม่สำคัญเท่าความเร็ว ดังนั้นเปลี่ยนเป็นภาพนิ่งดีกว่า เพราะ Live Wallpaper นอกจากจะทำให้เครื่องช้าลงแล้ว ซ้ำจะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นอีกด้วย<br /><br /></li>
<li><u>Update Android อย่างสม่ำเสมอ<br /></u></li>
<ol>
<li>วิธีการ Update Adroid ให้ไปที่ หน้ารวม Apps</li>
<li>กดเข้าไปที่ Settings </li>
<li>จากนั้นกดที่ปุ่ม More ตรงมุมขวาบนสุดของจอ </li>
<li>กดเข้าไปที่ About Device ด้านล่างสุด เพื่อดูรายละเอียดของเครื่อง</li>
<li>แล้วกด Software Update แล้วกด Update<br />*ถ้าจะให้เครื่อง Update Android โดยอัตโนมัติให้กด ที่ Auto Update เพื่อเปิดใช้งานอัพเดทแบบ Auto<br /><br /></li>
</ol>
<li><u>Update App ต่างๆบนเครื่อง อย่างสม่ำเสมอ<br /></u></li>
<ol>
<li>วิธีการ Update App ให้เข้าไปที Play Store แล้วกดที่ปุ่ม Menu (ปุ่มที่เป็นรูปเส้นแนวนอน 3 เส้นเรียงกัน)</li>
<li>กดที่ My apps เพื่อดู App ของเรา</li>
<li>กดปุ่ม UPDATE ALL เพื่อ Update App ของเราทั้งหมด<br /><br /></li>
</ol>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือเทคนิคต่างๆ ในการทำให้โทรศัพท์มือถือที่ใช้ Android ของเรากลับมาเร็วเหมือนตอนซื้อเครื่องมาใหม่ๆ หรืออาจจะเร็วกว่าเดิมอีกนะครับ ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นปรโยชน์สำหรับทุกท่าน</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ส่วนในครั้งต่อไปผมจะนำอะไรมาฝากกันอีก คอยติดตามกันด้วยนะครับ</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-77428260766932160862014-12-29T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.772+07:0010 อันดับ คีย์ลัด Windows ที่ทุกคนต้องรู้คีย์ลัดใน Windows เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากครับ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Windows ได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วมากขึ้นหลายทั้ง ทำให้คุณสามารถทำงานเอกสารหรืองานอื่นๆ เสร็จภายในระยะเวลาอันสั้น โดยคีย์ลัดของ Windows ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการ กดปุ่มบนคีย์บอร์ด 2 ปุ่มคู่กัน เช่น Ctrl + C ซึ่งถ้าเราเห็นแบบนี้ ก็ให้เรากดปุ่ม Ctrl ค้างเอาไว้ก่อน แล้วก็ค่อยกด C ตามหลังโดยที่ยังกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้อยู่ แล้วเราจึงปล่อยปุ่มทั้งคู่ โดยในบทความต่อไปนี้จะเป็นรายชื่อ คีย์ลัดที่สำคัญที่สุด 10 อันดับที่ทุกคนต้องรู้เพื่อที่เราจะได้สามารถใช้ Windows และโปรแกรมแก้ไขข้อมูลที่เป็นเป็นตัวอักษรต่างๆ (Text Editor) ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นครับ<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<h3>
10 อันดับ คีย์ลัด Windows ที่ทุกคนต้องรู้</h3>
<ol>
<li>Ctrl + c และ Ctrl + x<br />คีย์ลัด Ctrl + c นี้เอาไว้สำหรับ Copy คัดลอกหรือทำสำเนานั่นเอง ซึ่งใน Windows เราสามารถ Copy ได้แทบจะทุกอย่าง ทั้ง ไฟล์ทุกประเภท โฟล์ดเดอร์หรือแฟ้มข้อมูล ตัวอักษร รูปภาพ และข้อความต่างๆ ส่วนถ้าเราจะทำการ Copy ไปพร้อมๆ กับการลบสิ่งที่เรา Copy ก็ให้ใช้คีย์ลัด Ctrl + x ซึ่งก็คือ Cut หรือตัดนั่นเอง Cut จะสะดวกสำหรับเวลาที่เราต้องการที่จะเคลื่อนย้ายตำแหน่งไฟล์ ข้อความ หรือรูปภาพต่างๆ</li>
<li>Ctrl + v<br />คีย์ลัดนี้คือการ Paste หรือวางสิ่งที่เราได้ทำการ Copy คัดลอกหรือ Cut ตัดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าเรารู้คีย์ลัดนี้ เราก็ไม่ต้องย้ายมือเรามาคลิกขวาที่ mouse แล้วกด Paste ซึ่งค่อนข้างจะเสียเวลา</li>
<li>Ctrl + z และ Ctrl + y<br />คีย์ลัด Ctrl + Z นี้ไว้สำหรับการยกเลิกสิ่งที่เพิ่งทำเสร็จไป หรือ Undo นั่นเอง เผื่อเวลาเราเผลอลบข้อความต่างๆ หรือไฟล์ผิด เราก็สามารถกด Ctrl + z เพื่อที่จะยกเลิกสิ่งที่เราเพิ่งทำเสร็จไปซึ่งก็คือการลบไฟล์ผิด ให้ไฟล์กลับขึ้นมาเหมือนเดิม</li>
<li>Ctrl + s<br />คีย์ลัดนี้ไว้สำหรับเก็บบันทึกไฟล์ หรือ Save นั่นเอง ซึ่งหลายๆ โปรแกรมบน Windows เช่น Notepad, Microsoft Word, Microsoft Powerpoint หรือโปรแกรมอื่นๆ ต่างก็ใช้คีย์ลัด Ctrl + s นี้สำหรับการเก็บบันทึก หรือ Save ไฟล์กันทั้งนั้น ซึ่งทุกคนควรจะหมั่น Save บ่อยๆ เผื่อกรณีเกิด Accident โปรแกรมค้าง คอมพิวเตอร์ดับ งานเราจะได้ไม่หายไป</li>
<li>Ctrl + a<br />คีย์ลัดนี้มีไว้สำหรับเลือกไฟล์ทุกไฟล์ หรือทุกสิ่งในไฟล์เอกสารทั้งรูปภาพและตัวอักษร หรือ Select All นั่นเอง ซึ่งทำให้เราไม่ต้องมาเลือก Copy หรือลบไฟล์ทีละไฟล์ คราวนี้ถ้าเราจะ Copy ไฟล์ทุกไฟล์ก็แค่ กด Ctrl + a แล้ว Ctrl + c ก็ Copy ได้ทุกไฟล์แล้ว</li>
<li>Alt + Tab<br />คีย์ลัดนี้สำคัญมากโดยเฉพาะกับพนักงานออฟฟิสที่มีหัวหน้างานเดินผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเราบ่อยๆ เพราะคีย์ลัดนี้มีไว้สำหรับสลับหน้าจอโปรแกรม สมมุติว่าเรากำลังทำงานสำคัญอยู่ ซึ่งเราก็ได้เปิดโปรแกรม Microsoft Word เอาไว้ แล้วเราก็เปิดเกมส์ขึ้นมาเพื่อที่จะเล่นเกมส์คลายเครียดซัก 10 นาที แต่หัวหน้ากำลังจะเดินมาพอดี เราก็แค่กด ปุ่ม Alt + Tab เพื่อที่จะสลับหน้าจอ ให้โปรแกรม Microsoft Word ขึ้นมาแทนเกมส์ที่เรากำลังเล่นอยู่</li>
<li>Ctrl + Backspace<br />ลบข้อความทีละคำ ลองดูเลยครับ พอได้เริ่มใช้ก็จะติดใจ เพราะเราไม่ต้องมาคอยลบทีละตัวอักษร แต่จะเป็นการลบทีละคำแทน</li>
<li>Ctrl + f<br />ไว้สำหรับ ค้นหาไฟล์ แฟ้มข้อมูล หรือข้อความต่างๆ ว่าอยู่ตรงไหน</li>
<li>Alt + F4<br />คีย์ลัดนี้ใช้สำหรับปิดโปรแกรมที่เปิดอยู่ เสมือนเราเลือก File > Close ใน Microsoft Word</li>
<li>F2<br />คีย์ลัดนี้เอาไว้สำหรับเปลี่ยนชื่อไฟล์ หรือ Rename ทำได้โดยเลือกไฟล์ซัก 1 ไฟล์ แล้วกดปุ่ม F2</li>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือ 10 อันดับสุดยอดคีย์ลัดสำหรับ Windows ครับ ลองหัดใช้ให้ชินมือนะครับ ผมเชื่อว่าคุณจะสามารถทำงานได้เร็วและสะดวกขึ้นมาก ส่วนคราวหน้าผมจะมีเทคนิคอะไรมาแชร์กันอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ</div>
<br />
<br />AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-9649036470028625702014-12-22T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.776+07:00วิธีปิด Autorun หรือ Autoplay บน Windows 7ก่อนอื่นผมขออธิบายให้เข้าใจก่อนนะครับ ว่าทำไมเราถึงต้องปิด Autorun หรือ Autoplay บน Windows สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะว่า Virus ที่มาจาก Thumb Drive หรือ Flash Drive ส่วนใหญ่จะแพร่กระจายโดยการใช้ Autorun หรือ Autoplay บน Windows โดยวิธีการคือ Virus จะสร้างไฟล์ตัวหนึ่ง ชื่อ autorun.inf ขึ้นมาไว้ใน Thumb Drive ซึ่งไฟล์ตัวที่จะถูก Windows เรียกใช้ทันทีเมื่อเราเสียบ Thumb Drive เข้ากับเครื่องที่ไม่ได้ปิด Autorun หรือ Autoplay ไว้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว Virus พวกนี้จะ สร้างไฟล์ autorun.inf<br />
<a name='more'></a>โดยเขียนให้ไฟล์สั่งให้ Windows ทำการคัดลอก Virus แล้วให้ Save ไว้ในเครื่องของเราโดยทันที เครื่องเราก็จะติด Virus และเมื่อเรานำ Thumb Drive ที่ไม่ได้ติด Virus มาเสียบ ในเครื่องที่ติด Virus Thumb Drive ใหม่นั้น ก็จะพลอยติด Virus ไปด้วย ซึ่งวิธีการนี้เองที่ทำให้ Virus autorun.inf บน Thumb Drive แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว<br />
<br />
ยกตัวอย่าง Virus ที่ผมเจอมากับตัว คือ ไฟล์ทุกอย่างใน Thumb Drive กลายเป็น Shortcut ไปหมดนามสกุลไฟล์ก็หายไป เวลา Copy ลงมาในเครื่องก็เปิดไม่ได้ พอลองเสียบ Thumb Drive ในเครื่องอื่นก็เป็นเหมือนกัน ติด Virus กันถ้วนหน้า ต้องแก้ไขกันยกใหญ่<br />
<br />
การปิด Autorun หรือ Autoplay จะช่วยป้องกัน Virus จาก Thumb Drive ได้ เพราะเมื่อเราปิด Autorun หรือ Autoplay แล้ว Windows จะไม่เรียกใช้งาน ไฟล์ autorun.inf ใน Thumb Drive โดยอัตโนมัติ ทำให้เราเครื่องของเราไม่โดน Virus นั่นเอง<br />
<br />
ขั้นตอนต่อไปนี้คือขั้นตอนการปิด Autorun หรือ Autoplay บน Windows 7 ซึ่งใน Windows อื่นๆ ก็จะมีวิธีการคล้ายๆกัน<br />
<br />
<br />
<h3>
วิธีปิด Autorun Autoplay บน Windows 7</h3>
<br />
<ol>
<li>ให้เราคลิกที่ Start ตรงแถบเมนูด้านล่าง เพื่อเปิดเมนูหลักขึ้นมา</li>
<li>คลิกที่ Control Panel เพื่อเข้ามาที่หน้าควบคุมการทำงานของ Windows</li>
<li>คลิกที่ Hardware and Sound เพื่อเข้าไปปรับค่าในส่วนของ Hardware</li>
<li>คลิกที่ Autoplay จะอยู่ระหว่าง Devices and Printers และ Sound</li>
<li>ในหน้า Autoplay นี้ จะมี Options ต่างๆ ให้เราเลือก ว่าเราจะให้ Autoplay ทำงานกับไฟล์ประเภทไหนบ้าง หากท่านต้องการที่จะปิด Autoplay กับ ไฟล์ทุกรูปแบบ ให้คลิกที่เครื่องหมายถูกด้านบน หน้า Use Autoplay for all media and devices เพื่อเอาเครื่องหมายถูกออก แต่หากท่านต้องการที่จะปิดการใช้งาน Autoplay เฉพาะกับไฟล์บางประเภท ท่านก็สามารถเลือกปรับเปลี่ยนเอาได้ตามใจชอบในหน้านี้ โดยถ้าเลือกเป็น Take no action ก็คือการปิดใช้งาน autoplay ถ้าเลือก Ask me everytime คือให้ Windows ถามเราว่าจะให้เปิดไฟล์โดยใช้โปรแกรมอะไร ซึ่งถ้าเลือกเป็น Ask me everytime ไฟล์ autorun.inf บน Thumb Drive ก็จะถูกเรียกใช้งานทันทีครับ ก็คือการเปิดใช้งาน Autorun นั่นเอง</li>
</ol>
<div>
<br /></div>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือขั้นตอนของวิธีการปิด Autorun หรือ Autoplay บน Windows 7 ครับ ซึ่งจะเห็นว่ามีขั้นตอนไม่กี่ข้อ สามารถทำตามได้ไม่ยากเลย และเพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์ของเราก็จะไม่ติด Virus จาก Thumb Drive อีกต่อไป</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-69944568813800116122014-12-15T10:11:00.000+07:002016-09-19T19:54:02.620+07:00วิธีทำให้แบตเตอรี่มือถือ Android หมดช้าลงพอใช้โทรศัพท์ Smart Phone มาได้ซักพักก็รู้สึกว่าทำไมแบตเตอรี่มันหมดเร็วจัง ขี้เกียจจะลุกเดินไปหาที่ชาร์จไฟมาเสียบบ่อยๆ บางครั้งก็มีธุระต้องออกไปข้างนอกบ้าน แต่ดันลืมเอาที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือติดไปด้วยอีก แถมแบตเตอรี่มือถือดันเหลืออีกแค่ 30 กว่าเปอร์เซ็น เปิดเครื่องทิ้งไว้แปบเดียวก็หมดอีก ถ้าใครกำลังเจอปัญหาเหล่านี้อยู่ ผมขอเสนอวิธีการยืดอายุแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ให้สามารถใช้งานได้ยาวขึ้น ที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
<h3>
วิธีทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ Android หมดช้าลง</h3>
<ol>
<li>ลดความสว่างหน้าจอ (Adjust Brightness)<br />ยิ่งหน้าจอสว่างมากก็ยิ่งกินไฟมากครับ ให้เราปิดโดยเลื่อนแถบด้านบนลงมา แล้วเลื่อนปรับแสง</li>
<li>ปิด Wifi ทันที เมื่อไม่ได้ใช้งาน Wifi<br />Wifi ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้แบตเตอรี่มาก ให้เราปิดทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ ก็จะช่วยประหยัดไฟได้อีกทางหนึ่ง</li>
<li>ใช้ภาพพื้นหลังเปนภาพนิ่ง แทนการใช้ Live Wallpaper ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว<br />เราไม่ควรใช้ Live Wallpaper เพราะนอกจากจะทำให้เครื่องช้าลง Performance ตกแล้ว ยังกินแบตเตอรี่มาก ดังนั้นการใช้ Wallpaper ที่เป็นภาพนิ่งจะดีกว่า ยิ่งถ้า Wallpaper เป็นโทนสีดำจะยิ่งประหยัดไฟ</li>
<li>ปิด GPS ทันทีเมื่อไม่ได้ใช้งานแล้ว<br />GPS เป็นอีก Feature ที่กินไฟมาก ดังนั้นเมื่อใช้งาน GPS เสร็จแล้วให้ปิดทันที</li>
<li>ปิด App ที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ไปให้หมด<br />App บาง App บน Android ถึงเราจะทำการปิด App จากใน App แล้ว แต่แท้จริงแล้ว บน Android จะยังคงทำงานอยู่เบื้องหลังไม่ให้เราเห็น ดังนั้นเราจึงต้องปิดให้หมด โดยกด ปุ่ม Home ค้างไว้ แล้วกดเครื่องหมายกากบาทมุมขวาล่างสุดของหน้าจอ</li>
<li>ปรับระยะเวลาก่อนปิดหน้าจอเมื่อไม่ได้ใช้งาน (Screen Timeout)<br />ถ้าเป็นไปได้เราควรกดปุ่มปิดเครื่องทันทีเมื่อใช้การเสร็จ เพื่อปิดหน้าจอ แต่ถ้าไม่สะดวก หรือมักจะลืมปิดหน้าจอ ให้เราเข้าไปตั้งค่าระยะเวลาการปิดหน้าจอโดยไปที่ Settings > My Device > Display > Screen timeout โดยคุณสามารถเลือกปรับได้ตั้งแต่ 15 วินาที จนถึง 10 นาที ซึ่งวิธีนี้ก็จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือได้มาก</li>
<li>เปิดใช้โหมดประหยัดพลังงาน (Saving Mode)<br />เมื่อเข้าโหมดนี้แล้ว App ต่างๆ ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังจะหยุดทำงาน ได้แก่ โปรแกรม E-mail หรือ Social Network ต่างๆ ที่มีการ Sync ข้อมูลจะหยุด Sync แบบอัตโนมัติ ซึ่งก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้มากเช่นกัน</li>
<li>อย่าเปิดแชร์อินเตอร์เน็ต (Mobile Tethering)<br />การทำเครื่องเป็น Hotspot หรือ Mobile Tethering เพื่อแชร์อินเตอร์กินไฟมาก ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว ดังนั้นเราควรเลี่ยงการเปิด Mobile Tethering เพื่อประหยัดพลังงาน</li>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือเทคนิคต่างๆ เพื่อทำให้แบตเตอรี่มือถือ Android หมดช้าลง ด้วยการลดการใช้ไฟในเครื่องให้น้อยลง ซึ่งทาง AimBestDesign หวีงเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน</div>
<div>
ส่วนครั้งต่อไปเราจะมีอะไรมาฝากกันอก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-30651829521210724392014-12-08T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.751+07:00วิธีแก้จอฟ้า Blue Screen บน Windowsกำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่ดีๆ หน้าจอขึ้นจอฟ้า หรือสีน้ำเงิน แล้วคอมพิวเตอร์ก็ดับไป แล้วก็ Restart ขึ้นมาใหม่ หรือบางคนไม่ต้องเล่นเกมส์ แค่เข้าอินเตอร์เน็ต เปิดเว็บไซต์ อยู่ดีๆ ก็เจอจอฟ้าก็มี และอาการเหล่านี้ก็จะเป็นอยู่เรื่อยๆ ถ้าเราไม่ได้ทำการแก้ไข ดังนั้น ใครที่กำลังประสบปัญหาจอฟ้าอยู่ ต้องอ่านบทความนี้เลยครับ<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<h3>
จอฟ้า (Blue Screen) คืออะไร ?</h3>
<br />
Blue Screen หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า จอฟ้า คือการแสดงผลของ Windows เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือ Error ที่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ โดยผู้ผลิต Windows ซึ่งก็คือ Microsoft ได้ออกแบบให้ระบบปฏิบัติการ Windows แสดงผลโดยใช้พื้นหลัง หรือ Background เป็นสีน้ำเงิน และแสดงข้อความแนะนำวิธีการแก้ไขเบื้องต้น พร้อมข้อมูลความผิดพลาดทางเทคนิคมาด้วย โดยแสดงผลเป็นตัวอักษรสีขาว<br />
<br />
<h3>
จอฟ้า (Blue Screen) เกิดจากอะไร ?</h3>
<br />
สาเหตุของการเกิดขึ้นของ Blue Screen โดยมากจะมาจาก ความบกพร่องของ Hardware และ Software ภายใน ระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งอาจเกิดจากการติดตั้ง Driver Software ไม่ถูกต้อง ไม่ครบหรือไม่ตรงกับรุ่นของ Hardware ที่ใช้อยู่จริง นอกจากนี้การที่คอมพิวเตอร์ทำงานหนักกว่ากว่าที่ Hardware จะรับไหว หรือไฟล์สำคัญใน Windows มีปัญหาหรือขาดหายไป สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมเป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปรกติใน ระบบปฏิบัติการ Windows และนำไปสู้การแสดงผลแบบ จอฟ้า (Blue Screen) ในที่สุด<br />
<br />
ดังนั้นในบทความนี้ผมจึงขอเสนอวิธีที่ผมใช้ในแก้อาการ จอฟ้า ให้หายขาดได้โดยผมขอแนะนำ วิธีดังต่อไปนี้ครับ<br />
<br />
<h3>
วิธีแก้จอฟ้า (Blue Screen) บน Windows</h3>
<br />
<br />
<ol>
<li>Update Windows อย่างสม่ำเสมอ<br />เราควรจะ Update Windows อย่างสม่ำเสมอครับ เนื่องจาก Windows เองมีทีมพัฒนาแก้ไขจุดบกพร่องอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Windows ยิ่ง version ใหม่ ก็จะยิ่งมีความเสถียรมากขึ้น และปัญหาที่น้อยลง</li>
<li>ตรวจสอบ Driver Software ทั้งหมด<br />สามารถตรวจสอบได้เอง โดยคลิกว่าที่ My Computer แล้วเลือก Manage แล้วคลิกที่ Device Manager ตรงฝั่งซ้ายมือ แล้วดูที่จอหลักตรงกลาง จะแสดงรายชื่อ Driver Software ต่างๆ หากพบเครื่องหมายตกใจ หรือเครื่องหมายคำถาม แสดงว่ายังติดตั้ง Driver Software ได้ไม่ครบถ้วน ให้ทำการหา Driver Software มาติดตั้งให้เรียบร้อย</li>
<li>Scan Virus, Malware, Spyware อย่างสม่ำเสมอ<br />Virus ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เกิดจอฟ้าได้ เนื่องจาก Virus ส่วนใหญ่ชอบเข้าไปแก้ไขไฟล์สำคัญๆ ใน Windows ดังนั้นการหมั่น Scan Virus ก็เป็นวิธีช่วยป้องกันที่ดีอีกทาง</li>
<li>เมื่อเกิดจอฟ้าขึ้นอีกครั้ง ให้ถ่ายรูปจอฟ้านั้นเก็บไว้ดูครับ <br />บน จอฟ้า เราจะเห็นรหัส Error แสดงอยู่ใต้ Technical Information ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บอกถึงลักษณะของ Error ที่ชัดเจน ให้เราพิมพ์รหัสนี้ ลง Google แล้วลอง Search ดูเผื่อมีคนเจอปัญหาเหมือนกันและแชร์วิธีแก้อยู่บนเว็บไซต์ต่างๆ</li>
<li><br /></li>
</ol>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการแก้ปัญหาจอฟ้าให้หายขาดกันนะครับ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโชยชน์กับทุกคนครับ ส่วนครั้งต่อไปจะมีเทคนิคอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ</div>
<br />
<br />
<br />AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-55693240302864372602014-12-01T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:54:02.616+07:00วิธี Backup Line Chat และ Restore Line ChatNaver Line เป็น Application ที่เป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะคนไทยนะครับ เพราะ Line มีฟังก์ชันที่เพรียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็น Sticker เก๋ๆ น่ารักๆ ให้ซื้อมาส่งหากัน มีระบบโทรฟรีผ่าน internet ระบบ Timeline และอื่นๆ อีกมากครับ แต่ติดปัญหาอยู่ที่หนึ่งคือ เมื่อเราต้องการจะเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์ หรือต้องการที่จะใช้ Line บนโทรศัพท์เครื่องอื่น Chat ข้อความต่างๆ ที่เราได้คุยกับเพื่อนๆ ใน Line จะหายหมดเลยเมื่อเราไป Log in Line บนโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่น ซึ่งก่อนจะ Log in Line ก็จะมีข้อความเตือนขึ้นมาบอกก่อนนะครับ แต่หากใครไม่ระวังเผลอกด Log in ไป เรียบร้อยครับ Chat หายหมด<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ในบทความนี้ผมจะสอนวิธี Backup Line Chat และ Restore Line Chat กันครับ Chat จะได้ไม่หาย<br />
<br />
<h3>
วิธี Backup Line Chat</h3>
<br />
<ol>
<li>เปิด App Line บนโทรศัพท์มือถือของเราขึ้นมา</li>
<li>กดที่เมนู Friends ตรงแถบเมนูหลักด้านบนครับ</li>
<li>เลือกเพื่อน แล้วกดที่เพื่อนที่เราต้องการที่จะ Backup Line Chat</li>
<li>กดที่ ลูกศรชี้ลง ตรงมุมขวาบนสุดของหน้าจอ</li>
<li>กดที่ Chat Settings</li>
<li>กดที่ Backup Chat History จะมีหน้าจอเล็กๆขึ้นมา</li>
<li>กดที่ Backup All เพื่อ Backup Chat ทั้งหมดของเพื่อนคนนี้</li>
<li>โปรแกรม Line จะถามว่าจะส่ง Backup Chat ทาง E-mail หรือไม่ กด Yes</li>
<li>กดส่ง E-mail โดยเลือกเป้าหมายปลายทางคือ E-mail ตัวเอง</li>
</ol>
<br />
<br />
<h3>
วิธี Restore Line Chat</h3>
<br />
<ol>
<li>เปิด E-mail ของเราขึ้นมา</li>
<li>เข้า E-mail ใหม่เข้ามา หัวข้อ [LINE] Chat with ชื่อเพื่อนที่เรา Backup Line Chat</li>
<li>กดเข้าไปที่ E-mail ใหม่ แล้ว Download ไฟล์ที่แนบมาใน E-mail ลงมาไว้ในเครื่อง</li>
<li>เมื่อ Download หรือ Save ไฟล์ลงมาที่เครื่องแล้ว ให้ย้ายไฟล์ที่ Download มา ไปไว้ใน sdcard/LINE_Backup/ หรือบางท่านจะเป็น /storage/emulated/0/ (ขึ้นตอนนี้เครื่องแต่ละรุ่นอาจจะไม่เหมือนกันครับแต่ให้หา Directory หรือ Folder ชื่อ LINE_Backup/ แล้วโยนไฟล์ Chat History ไปไว้ในนั้น)</li>
<li>เปิด App Line ขึ้นมาครับ</li>
<li>กดที่ Friends แล้วเลือกเพื่อนที่เราทำการ Backup Line Chat ไว้นะครับ</li>
<li>กดที่ลูกศรลงมุมขวาบนสุดของจอ แล้วกดที่ Chat Settings</li>
<li>สังเกตดู จะมี Import Chat History เพิ่มขึ้นมาครับ ให้กดเข้าไป</li>
<li>โปรแกรมจะถามว่าเราต้องการที่จะนำเข้าประวัติการพูดคุยใช่หรือไม่ ให้กด Yes</li>
<li>รอแปบนึง จนกว่าหน้าจอจะบอกว่า The Chat History has been imported</li>
<li>กด OK ก็เรียบร้อยครับ</li>
</ol>
<br />
<br />
<h3>
วิธี Backup Line Chat หลายคนพร้อมกัน</h3>
<br />
Backup Line Chat เพื่อนทีละคน บอกตามตรงลำบากอยู่พอสมควร เพราะเพื่อนส่วนตัวมีเพื่อนเยอะมากครับ เท่าที่ทราบจนถึงปัจจุบัน <u>App Line ยังไม่ทำรองรับสำหรับการ Backup Line Chat หลายคน</u>ในครั้งเดียวครับ เสียใจมาก และหวังอย่างยิ่งว่าในอนาคตทาง Naver จะพัฒนา feature นี้ออกมาเพิ่มครับ<br />
<br />
<br />
ทั้งหมดนี้ก็คือขั้นตอนวิธี Backup Line Chat (สำรองประวัติการสนทนาบน Line) และ วิธี Restore Line Chat (กู้คืนประวัติการสนทนาบน Line) หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต่อทุกท่านนะครับ แต่ที่แน่ๆ มีประโยชน์สำหรับตัวผมเองหนึ่งคนและ เพราะผมลืมวิธี Backup อยู่บ่อยๆ จะได้ย้อนกลับมาอ่าน เขียนเองอ่านเองเลย<br />
<br />AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-26142020626430261722014-11-24T06:00:00.001+07:002016-09-19T19:24:29.746+07:00วิธีหาพิกัด Latitude Longitude บน Google Mapปัจจุบัน Google Map ได้เข้ามามีความสำคัญในการค้นหาเส้นทางการเดินทางและสถานที่ต่างๆ ซึ่ง Google Map ก็เป็นที่นิยมใช้กันมากทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้นเว็บไซต์ธุรกิจ ร้านค้า หรือองค์กรต่างๆ ก็ควรที่จะมี Google Map อยู่บนเว็บไซต์ของบริษัท หรือธุรกิจนั้นๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจจะเดินทางไปยังที่ตั้งร้านค้า หรือกิจการของคุณได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคอยโทรถามทางจากทางร้านค้า เนื่องจาก Google Map ให้ตำแหน่งสถานที่ที่แม่นยำระดับจุดพิกัด อีกทั้งยังคำนวณเส้นทางการเดินทางให้ถึงที่หมายโดยอัตโนมัติ<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
เวลาผมจะทำ Google Map ให้ลูกค้าที่ใช้บริการจัดทำเว็บไซต์ก็เช่นกันครับ ผมก็ต้องใช้พิกัด Latitude และ Longitude เพื่อที่จะมาใส่ตำแหน่งที่ถูกต้องให้แก่บริษัทหรือองค์กรนั้นๆบนเว็บไซต์ ซึ่งใน Google Map เอง ไม่ได้แสดง Latitude และ Longitude ให้ได้เห็นง่ายนัก สาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่าคนทั่วไปที่ใช้ Google Map ไม่ค่อยจะได้ใช้งานพิกัด Latitude และ Longitude กันนัก ทาง Google จึงได้นำรายละเอียดที่สำคัญอื่นๆ เช่น ที่อยู่ รูปภาพ และคำอธิบายสถานที่ขึ้นมาแสดงให้ชัดเจนแทนตำแหน่งพิกัด Latitude และ Longitude<br />
<br />
<br />
สำหรับผู้ที่ต้องการหา พิกัด Latitude Longitude บน Google Map ท่านสามารถทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ได้เลย โดยผมจะแนะนำเป็นวิธีการหาพิกัดบน Google Map โดยใช้คอมพิวเตอร์นะครับ<br />
<br />
<br />
<h3>
วิธีหาพิกัด Latitude Longitude บน Google Map</h3>
<div>
<br />
<ol>
<li>เปิดเว็บไซต์ Google Map บนคอมพิวเตอร์ขึ้นมาครับ หรือคลิกที่ URL นี้ก็ได้ครับ <a href="https://www.google.co.th/maps/">https://www.google.co.th/maps/</a></li>
<li>หาตำแหน่งที่เราต้องการหาพิกัด Latitude Longitude เลยครับ</li>
<li>จากนั้นคลิกซ้ายลงบนตำแหน่งที่เราต้องการหาพิกัด ตัวอย่างเช่น สยามเซ็นเตอร์</li>
<li>สังเกตดูที่ URL Address ด้านบนของ Web Browser ครับ จะเห็นว่า URL เป็น https://www.google.co.th/maps/place/สถานที่ที่เราเลือก/@13.7454621,100.5325321,17z/data=!4m2!3m1!1s0x0:0xc3d484c8ddaef798<br />ถ้าสยามเซ็นเตอร์ ก็จะเป็นแบบนี้ครับ <br />https://www.google.co.th/maps/place/สยามเซ็นเตอร์/@13.7454621,100.5325321,17z/data=!4m2!3m1!1s0x0:0xc3d484c8ddaef798</li>
<li>สังเกตหลังหลังเครื่องหมาย @ ที่ URL ครับ ตัวเลข 13.7454621 หน้า , (comma) ก็คือ Latitude และ ตัวเลข 100.5325321 หลัง , (comma) ก็คือ Longitude นั่นเองครับ</li>
<li>กรณีที่ตำแหน่งที่คุณเลือกไม่ใช่สถานที่ที่ Google รู้จักนะครับ ก็ให้คลิกซ้ายที่ตำแหน่งที่เราอยากหาพิกัด Latitude Longitude ครับ</li>
<li>สังเกตดูที่ด้านซ้ายมือ จะมีหน้าจอบอกรายละเอียดสถานที่อยู่ครับ พร้อมพิกัด Latitude Longitude อยู่ล่างสุด</li>
</ol>
</div>
<div>
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
นอกจากนี้นะครับ ตรงกล่องข้อความที่ให้เราข้อความสำหรับค้นหาสถานที่ เรายังสามารถกรอกพิกัด Latitude และ Longtitude ลงไปได้เลย เพื่อค้นหาสถานที่ตามพิกัด โดยให้เรา ใส่ (,) comma ขั้นกลางระหว่าง Latitude และ Longtitude<br />
<br /></div>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือขั้นตอนวิธีการหาพิกัด Latitude และ Longitude บน Google Map กันนะครับ หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกคนนะครับ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังหาพิกัด Latitude Longtitude เพื่อที่จะนำไป Mark ตำแหน่งบนแผนที่ Google Map บนเว็บไซต์ ส่วนในครั้งต่อไป ผมจะเอาเทคนิคอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะครับ</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-43448034712610203422014-11-17T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:54:02.612+07:00วิธีปรับรูปแบบและขนาดตัวอักษรบน Android<div dir="ltr">
หลังจากที่ใช้ Samsung Note II มาได้ซักพักหนึ่ง รู้สึกว่า ขนาดตัวหนังสือในเครื่องตัวเล็กเกินไป อ่านยาก แต่ในหน้าจอ SMS ตัวหนังสือตัวใหญ่เกินไป ก็อ่านลำบากอีก ผมเลยได้หาวิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร และขนาดตัวอักษรบนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ Android มากฝากกันครับ</div>
<div dir="ltr">
วิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและขนาดตัวอักษรบน Android มีดังต่อไปนี้</div>
<div dir="ltr">
<br />
<br />
<a name='more'></a><br /></div>
<h3>
วิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษรบน Android (Font Style)</h3>
<div dir="ltr">
</div>
<ol>
<li>กดที่ Apps เพื่อเข้าไปในหน้ารวม App ทั้งหมดในเครื่อง</li>
<li>กดเข้าไปที่ Settings (Icon ที่เป็นรูปฟันเฟือง) เพื่อเข้าไปยังส่วนการตั้งค่าต่างๆ</li>
<li>กดที่ My Device ตรงแถบด้านบน เพื่อเข้าไปในหน้าตั้งค่าภายในเครื่องของเรา</li>
<li>กดทึี Display เพื่อเข้าไปที่หน้าสำหรับตั้งค่าการแสดงผล</li>
<li>เลื่อนลงมา จะเห็น Font style</li>
<li>กดเข้าไปที่ Font style ก็จะมีรูปแบบตัวอักษรขึ้นมาให้เราเลือก</li>
<li>เมื่อเลือกรูปแบบตัวอักษรที่ต้องการแล้ว ให้กด Yes</li>
<li>*เราสามารถเพิ่มรูปแบบตัวอักษรได้โดยกดที่ปุ่ม Get Fonts Online เพื่อ Download รูปแบบตัวอักษรเพิ่ม</li>
</ol>
<h3>
วิธีการปรับเปลี่ยนขนาดตัวอักษรบน Android (Font Size)</h3>
<div>
<ol>
<li>กดที่ Apps เพื่อเข้าไปในหน้ารวม App ทั้งหมดในเครื่อง</li>
<li>กดเข้าไปที่ Settings (Icon ที่เป็นรูปฟันเฟือง) เพื่อเข้าไปยังส่วนการตั้งค่าต่างๆ</li>
<li>กดที่ My Device ตรงแถบด้านบน เพื่อเข้าไปในหน้าตั้งค่าภายในเครื่องของเรา</li>
<li>กดทึี Display เพื่อเข้าไปที่หน้าสำหรับตั้งค่าการแสดงผล</li>
<li>เลื่อนลงมา จะเห็น Font size</li>
<li>กดเข้าไปที่ Font size ก็จะมีขนาด Font ขึ้นมาให้เราเลือก</li>
<li>กดเลือกขนาดตามต้องการ เป็นอันเสร็จสิ้น</li>
<li>*ในกรณีที่เลือกขนาดตัวอักษรเป็นขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดตัวอักษรจะใหญ่ที่สุดเฉพาะบนบางหน้าจอเท่านั้น ซึ่งจะมีหน้าจอขึ้นมาบอก เมื่อเราเลือกขนาดตัวอักษรเป็นขนาดใหญ่ที่สุด</li>
</ol>
<h3>
วิธีการปรับเปลี่ยนขนาดตัวอักษร SMS บน Android (SMS Font Size)</h3>
</div>
<div>
<ol>
<li>กดเข้าไปที่ SMS เพื่อเข้าไปที่หน้าอ่าน SMS ทั้งหมด</li>
<li>กดปุ่ม เพิ่ม/ลด เสียงตรงบริเวณด้านข้างหรือสันของเครื่องโทรศัพท์มือถือ</li>
<li>กดเพิ่มเสียง เพื่อเพิ่มขนาดตัวอักษร และกดลดเสียงเพื่อลดขนาดตัวอักษร</li>
</ol>
<div>
<br /></div>
<div>
นอกจากนี้ในส่วนของการปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร เรายังสามารถ Download รูปแบบตัวอักษรเพิ่มได้โดยกดที่ Get Fonts Online ในหน้าจอเลือกรูปแบบตัวอักษร ซึ่งเมื่อกดเข้าไปแล้วจะมีรูปแบบตัวอักษรฟรีให้เรา Download กันด้วย และเมื่อเราทำการ Download รูปแบบตัวอักษรใหม่ลงมาในเครื่องแล้ว ในหน้าจอเลือกรูปแบบตัวอักษรก็จะมีรูปแบบตัวอักษรใหม่ที่เรา Download ลงมาให้เลือก เราก็สามารถเลือกใช้ได้เลย</div>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
จบไปแล้วนะครับกันขั้นตอนวิธีการปรับเปลี่ยนขนาดและรูปแบบของตัวอักษรบน Android ซึ่งทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน ส่วนคราวหน้าผมจะมีเทคนิคอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะครับ</div>
<div>
</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-14851190472874358382014-11-10T06:00:00.000+07:002014-11-23T00:39:28.326+07:00วิธีใส่ฟอนต์บนเว็บไซต์รองรับ IE8+ และอื่นๆFont สวยๆ ก็จำเป็นมากสำหรับงานออกแบบเว็บไซต์ครับ ซึ่ง Font มาตรฐานของเว็บไซต์เองก็มีให้เลือกไม่มากนัก ครั้นจะใช้ Google Font ที่มีความงามขึ้นมาหน่อย แต่ก็ดันไม่มี Font ภาษาไททยอีก และที่สำคัญคือไฟล์ Font ส่วนใหญ่จะทำมาเป็นไฟล์แบบสมัยใหม่ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะรองรับบน IE หรือ Browser เก่าๆ อื่นๆ ทำใหเราต้องทำการแปลงไฟล์ให้เป็นไฟล์ที่รองรับสำหรับแต่ละ Web Browser กันก่อน<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ขั้นตอนต่อไปนี้จะเป็นวิธีการใส่ Font ภาษาไทยให้กับเว็บไซต์ครับ ซึ่งคุณสามารถทำตามได้เลย<br />
<br />
<h3>
วิธีใส่ฟอนต์ให้เว็บไซต์รองรับ IE8+ และ Browser อื่นๆ</h3>
<br />
<ol>
<li>ก่อนอื่นเราต้องมี Font ภาษาไทยสวยๆ ก่อนนะครับ อันนี้แล้วแต่เลยว่าจะ Download มาจากที่ไหน แต่แนะนำว่าให้เป็น ไฟล์ .ttf (true type font)<br />*ระวังการหา Font ด้วยนะครับ หลายๆ Font มีลิขสิทธิ์ห้ามเผยแพร่นอกจากจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของ Font ก่อน</li>
<li>แปลงไฟล์ font .tff ของเราให้เป็น ไฟล์ .woff .woff2 .svg และ .eot ซึ่งคุณสามารถแปลงได้โดยเว็บไซต์นี้ <a href="http://www.fontsquirrel.com/tools/webfont-generator" rel="nofollow" target="_blank">http://www.fontsquirrel.com/tools/webfont-generator</a><br />หรือจะใช้ Web อื่นก็ได้นะครับ ขั้นตอนการแปลงนี้ แล้วแต่เลยครับว่าจะใช้วิธีไหน ลอง Search "Convert Font" ใน Google ดูก็ได้ครับ มีหลายเว็บไซต์ให้เลือกใช้</li>
<li>เมื่อเราได้ไฟล์ที่ต้องการทั้งหมดมาแล้ว ใน CSS ให้เราเพิ่มโค้ดส่วนนี้ลงไป<br />@font-face {<br /> font-family: 'ชื่อ Font ของคุณ';<br /> src: url('ชื่อไฟล์ Font ของคุณ.eot');<br /> src: url('ชื่อไฟล์ Font ของคุณ.eot?#iefix') format('embedded-opentype'),<br /> url('ชื่อไฟล์ Font ของคุณ.woff2') format('woff2'), <br /> url('ชื่อไฟล์ Font ของคุณ.woff') format('woff'),<br /> url('ชื่อไฟล์ Font ของคุณ.ttf') format('truetype'),<br /> url('ชื่อไฟล์ Font ของคุณ.svg#ชื่อ Font ของคุณ') format('svg');<br />}<br />ตรง ชื่อไฟล์ Font ของคุณ ให้เปลี่ยนเป็นชื่อไฟล์ลงไปนะครับ สมมติว่า Download Font มาชื่อ myfont.ttf ก็ให้ใส่ "myfont" ลงไปแทน "ชื่อไฟล์ Font ของคุณ" นะครับ แนะนำให้ใส่ไว้บรรทัดแรกๆ เลยครับ</li>
<li>ส่วนเวลาจะเรียกใช้ Font ก็ให้ใช้ Tag [font-family: ชื่อ Font ของคุณ;]<br />ตัวอย่าง:<br />h1, h2, h3 { font-family : myfont; }</li>
</ol>
<div>
ขอย้ำเรื่อง ลิขสิทธิ์ Font อีกทีนะครับ ก่อนจะ Download Font มา อย่าลืมอ่าน Terms of use หรือ License Font ก่อนนะครับ ว่าทางเจ้าของ Font เค้าอนุญาตให้เรานำไปเผยแพร่ หรือใช้บนสื่ออื่นหรือไม่ บาง Website บอกว่า Free Font สามารถ Download ได้ทันที แบบนี้ก็อย่าไว้วางใจนะครับ อ่านดูเงื่อนไขการใช้งาน Font ให้ดีๆ ก่อน<br />
<br />
และทั้งหมดนี้ก็คือขั้นตอนของวิธีการใส่ Font บนเว็บไซต์ของเราให้รองรับทั้งบน IE8+ และ Browser ดังๆ รุ่นอื่นๆ เช่น Firefox, Chrome และ Safari ซึ่งทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะประโยชน์สำหรับทุกคน</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ส่วนในครั้งหน้าผมจะมีทิปส์ หรือเทคนิคอะไรมาแชร์กันอีก อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะครับ</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-50295408310369615662014-11-03T06:00:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.758+07:00วิธีแก้ Flash ช้า กระตุกหรือค้างบน Chromeใช้ Internet Explorer ไม่มีปัญหา ใช้ Firefox และ Safari ก็ไม่เจอปัญหาอะไร แต่พอใช้ Chrome เข้า Youtube ทีไร บางที วีดีโอก็ช้าๆ บางทีก็ค้างเลย อย่างของผมที่เป็นอยู่คือ พอเข้าเว็บ Youtube แล้วมันขึ้นว่า Google Chrome has stopped working พร้อมข้อความ Error แปลกๆ ทำให้เราต้องปิด Chrome ไปเลย เวลาเล่นเกมส์ Flash ก็กระตุกๆ ภาพเคลื่อนไหวไม่ไหลลื่น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ ผมมีวิธีแก้ครับ<br />
<a name='more'></a><br />
<div>
<br /></div>
<div>
Chrome เป็น Web browser ที่มี Flash Player ฝังมาหรือ Built-in มาตั้งแต่ตอนเรา Install Chrome เสร็จเลยครับ ซึ่งต่างจาก Firefox หรือ Web Browser รุ่นอื่นๆ ที่พอเวลาเราติดตั้ง Web Browser เสร็จแล้ว เราต้องมา Download และ Install Flash ตามหลัง ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วก็ดูเหมือนว่า Chrome จะดีกว่าเพราะมี Flash มาให้พร้อม แต่สิ่งนี้แหละครับ ที่ทำให้เกิดปัญหา Flash บน Chrome ช้าและกระตุก เพราะเมื่อเราติดตั้ง Chrome เสร็จแล้วพบว่า Chrome จะทำการ Download และติดตั้ง Flash Player version ล่าสุด ลงไปใน Chrome แต่ทั้งนี้ Chrome ก็มี Flash Player Built-in มาอยู่แล้ว ทำให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อนของ Flash Player 2 ตัวนี้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ดังนั้นเราจึงต้องมาแก้ไขโดยการตั้งค่าให้ Chrome ใช้ Flash Player แค่ตัวเดียวก็พอ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้</div>
<div>
<br /></div>
<h3>
วิธีแก้ Flash ช้า กระตุกหรือค้างบน Chrome</h3>
<div>
<ol>
<li>เปิด Chrome ของเราขึ้นมา</li>
<li>ตรง Address Bar หรือ URL ด้านบน ให้พิมพ์เป็น chrome://plugins/ แล้วกด Enter เพื่อเข้าสู่หน้า Plug-ins ซึ่งในหน้านี้จะเป็นหน้าที่แสดงรายชื่อ Plug-ins ต่างๆ ที่ถูกติดตั้งอยู่ใน Chrome ของเราทั้งหมด</li>
<li>สังเกตทางด้านขวามือ ให้เราคลิกที่เครื่องหมาย + ตรงหน้าคำว่า Details เพื่อดูรายละเอียดของ Plug-in แต่ละตัว</li>
<li>สังเกตดูที่รายละเอียดของ Plug-in ที่มีชื่อว่า Adobe Flash Player จะพบว่า มีไฟล์ 2 ไฟล์ลักษณะคล้ายกัน คือเป็น Shockwave Flash ทั้งคู่</li>
<li>สังเกตดูที่รายละเอียด ถ้าทั้ง 2 ไฟล์ ขึ้นว่าเป็น Disable ทั้งคู่ ให้เรากดที่ Disable อันใดอันหนึ่ง ผมแนะนำให้กด Disable ไฟล์ที่ Version เก่ากว่าครับ แต่ถ้า Version เหมือนกันอีกให้กด Disable อันบน เพราะจะเป็นตัวเก่ากว่า</li>
<li>ปิด Chrome แล้วเปิดใหม่</li>
<li>ลองทดสอบโดยการดู Clip Video บน Youtube ดูครับ ถ้าแก้ไขได้แล้วก็ไม่ต้องอ่านขั้นตอนต่อไปครับ</li>
<li>สำหรับผู้ที่ทำตามขั้นตอนทั้งหมดแล้วยังแก้ไม่ได้ คือ ดู Video Youtube แล้วจะกระตุกอยู่ ให้ไป Download Flash player version ใหม่ล่าสุดมาครับ</li>
<li>ติดตั้ง Flash player version ใหม่ล่าสุดลงไปครับ</li>
<li>เมื่อเสร็จแล้ว ให้เข้าไปตรวจสอบ Plug-in ที่หน้า chrome://plugins/ อีกทีครับ</li>
<li>ตรวจสอบดูว่า ใน Plug-in Adobe Flash Player เป็น Disable ทั้งคู่หรือไม่ ถ้าเป็น Disable ทั้งคู่ ให้กดที่ Disable อันบนครับ</li>
<li>ปิด Chrome แล้วเปิดใหม่ แล้วลองเข้าเว็บที่ใช้ Flash ดูเลยครับ</li>
</ol>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือวิธีแก้ Flash ช้า กระตุกหรือค้างบน Chrome นะครับ ซึ่งผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ส่วนในครั้งต่อไป ผมจะเอาความรู้ดีๆ มาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-19133261785197754332014-10-27T05:00:00.000+07:002016-09-19T19:54:02.602+07:00วิธีดู Youtube บน Smart TV โดยเลือกวีดีโอจากมือถือ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixgO_GySoO1t5cBqXc1tNKZQzjB73tNvdW_ywG88DoaS2todOxakt1YuOU5m6_d_6pRmdP81eQ5fIelJe5XQsolqHez-8I3BtsbXB-MbcJQp7swbw9LcZJLukHmgi6RgYOqI5ETIdc2kc/s1600/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1+Youtube+%E0%B8%9A%E0%B8%99+TV.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixgO_GySoO1t5cBqXc1tNKZQzjB73tNvdW_ywG88DoaS2todOxakt1YuOU5m6_d_6pRmdP81eQ5fIelJe5XQsolqHez-8I3BtsbXB-MbcJQp7swbw9LcZJLukHmgi6RgYOqI5ETIdc2kc/s1600/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1+Youtube+%E0%B8%9A%E0%B8%99+TV.png" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ควบคุม Youtube บน TV ผ่านมือถือ</td></tr>
</tbody></table>
<br />
ในยุคปัจจุบันนี้นะครับ คนรุ่นใหม่สมัยนี้หันมาดูวีดีโอและรายการโทรทัศน์ต่างๆ บน Youtube กันมากกว่าดูบนโทรทัศน์ซะอีก สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะว่า เราสามารถดูเมื่อไหร่ก็ได้ ดูซ้ำกี่รอบก็ได้ และที่สำคัญคือมีโฆษณาน้อยกว่าบนโทรทัศน์<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
*ความต้องการเบื้องต้น (ถ้าใครมีไม่ครบทุกข้อนี้ จะไม่สามารถทำตามได้ครับ)<br />
<br />
<ol>
<li>คุณจะต้องมี Smart TV อย่างน้อย 1 เครื่อง</li>
<li>Smart TV จะต้องสามารถเข้าถึง Internet ได้ จะเป็นทาง Wireless หรือสาย LAN ก็ได้</li>
<li>มีโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องที่สามารถเข้าใช้งาน Internet ได้</li>
</ol>
<br />
<br />
ดังนั้นในบทความนี้ผมจึงขอเสนอ วิธีการดู Youtube บน Smart TV โดยควบคุมหรือเลือกวีดีโอจากโทรศัพท์มือถือครับ โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ<br /><br />
<h3>
วิธีดู Youtube บน Smart TV โดยเลือกวีดีโอจากมือถือ</h3>
<div>
1. เปิด App Youtube บน Smart TV ขึ้นมาครับ<br />
2. หาเมนู Pair Device (วิธีหาขึ้นอยู่กับรุ่นของ Smart TV ครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมนู Sign In & Settings)<br />
3. เมื่อหา เมนู Pair Device เจอแล้ว ให้กดเข้าไปที่ Pair Device<br />
4. จะมีหน้าจอใหม่ขึ้นมา ซึ่งบนหน้าจอจะมี QR Code และเลข 9 หลัก<br />
5. หยิบโทรศัพท์มือถือที่เราต้องการใช้ควบคุม Youtube บน Smart TV ของเราขึ้นมา<br />
<ol>
</ol>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ขั้นตอนต่อจากนี้สามารถทำได้ 2 วิธี เลือกใช้ได้ตามต้องการนะครับ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<u>6.1 วิธีที่ 1 ใช้ Web Browser</u></div>
<div>
6.1.1 เปิด Web Browser บนโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จะเป็น Chrome, Opera, Safari หรืออื่นๆ ได้หมดครับ</div>
<div>
6.1.2 ตรง URL หรือ Web Address ให้พิมพ์ว่า http://www.youtube.com/pair</div>
<div>
6.1.3 จะมีช่องให้เรากรอกหมายเลข 9 หลักขึ้นมา (ตรงช่องจะเขียนว่า Enter Paring Code) ให้เราทำการกรอกหมายเลข 9 หลักที่แสดงอยู่บนหน้าจอ Smart TV ลงไปในช่อง</div>
<div>
6.1.4 กดปุ่ม Add this TV</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<u>6.2 วิธีที่ 2 ใช้โปรแกรมแสกน QR code</u></div>
<div>
6.2.1 เปิดโปรแกรม Scan QR code ขึนมา (ถ้าใครไม่มี ให้หา Download ใน Store เอานะครับ ทั้ง App Store หรือ Play Store จะมีตัวฟรีอยู่ครับ)</div>
<div>
6.2.2 แสกน QR Code ที่แสดงอยู่บนหน้าจอ Smart TV</div>
<div>
6.2.3 กดปุ่ม Add this TV</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<div>
7. เปิด App Youtube บนโทรศัพท์มือถือขึ้นมาครับ</div>
<div>
8. เลือก Video ที่เราต้องการจะให้ฉายบน Smart TV ของเรา</div>
<div>
9. เมื่อกดเลือก Video แล้ว จะมีหน้าจอเล็กๆขึ้นมา ให้กดที่ Play on TV หรือจะ Add to Queue ก็ได้ครับ Play on TV ก็คือให้ฉาย video ที่เราเลือกบน Smart TV ทันที ส่วน Add to Queue ก็คือให้ฉาย Video ที่เราเลือกหลังจากที่ฉาย Video ที่กำลังฉายอยู่ก่อนหน้าทั้งหมดจบก่อน อธิบายง่ายๆ ก็คือใส่วีดีโอเข้าคิวนั่นเอง</div>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ทั้งหมดนี้ก็คือขั้นตอนวิธีดู Youtube บน Smart TV โดยเลือกวีดีโอหรือควบคุมวีดีโอจากโทรศัพท์มือถือนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบดู Video บน Youtube กันนะครับ</div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-17771534497842222202014-10-20T05:00:00.000+07:002016-09-19T19:24:29.742+07:00วิธีเล่นเกมส์แบบ Full Screen ให้ภาพไม่ขยายออกด้านข้าง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghTJ1zjmFMLBnIxLZayZ9c-e4DzVnsetSbKVIQQKbChzQkI_ezG_BWJEJAQpEYsxz7A-pZDF-34I-xfnW6SFiIcz7moq-8yG3_wIzU4KB2AsXfZlmNLDPjlSJRuIMjOQ5oGscNSMn1zII/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%8C+Fullscreen.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghTJ1zjmFMLBnIxLZayZ9c-e4DzVnsetSbKVIQQKbChzQkI_ezG_BWJEJAQpEYsxz7A-pZDF-34I-xfnW6SFiIcz7moq-8yG3_wIzU4KB2AsXfZlmNLDPjlSJRuIMjOQ5oGscNSMn1zII/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%8C+Fullscreen.png" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">เล่นเกมส์แบบ Fullscreen โดยคงอัตราส่วน</td></tr>
</tbody></table>
<br />
ปัจจุบันนี้ คอมพิวเตอร์ หรือ laptop รุ่นใหม่ๆ ทำออกมาส่วนใหญ่จะทำเป็นหน้าจอแบบ Wide Screen กันครับ โดยจะมีความละเอียดหน้าจอประมาณ 1920x1080 พิกเซล ซึ่งแน่นอนครับว่า เป็นปัญหาสำหรับเกมส์บางเกมส์ที่ไม่ได้ทำมารองรับสำหรับการเล่นแบบ Full Screen หรือแบบเต็มหน้าจอบนขนาดหน้าจอแบบ Wide Screen ทำให้เวลาเราเล่นเกมส์แบบ Full Screen จะพบว่าภาพในเกมส์ถูกยืดขยายออกจนเต็มด้านข้าง ทำให้ภาพในเกมส์ดูไม่สวย ตัวละครและฉากในเกมส์ดูอ้วนๆ แบนๆ เสียอรรถรสในการเล่นเกมส์<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
สำหรับเกมส์ใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะทำมารองรับขนาดหน้าจอแบบ Wide Screen อยู่แล้วนะครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนอัตราส่วนขนาดหน้าจอเกมส์ และความลเอียดของเกมส์ได้ที่ Options > Video Setting ในตัวเกมส์ได้โดยตรง แต่สำหรับเกมส์ที่เราไม่สามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนอัตราส่วนขนาดหน้าจอเกมส์ได้ใน Setting ของตัวเกมส์ ให้ท่านทำตามวิธีที่ผมจะแนะนำดังต่อไปนี้ครับ<br />
<br />
<h3>
วิธีเล่นเกมส์แบบ Full Screen ให้ภาพไม่ขยายออกด้านข้าง (แบบคงอัตราส่วน)</h3>
<div>
<br />
<ol>
<li>เข้าเกมส์ที่เราต้องการไม่ให้หน้าจอขยาย</li>
<li>เข้าโหมด Full Screen ของเกมส์ (ถ้าเกมส์ไหนเข้า Mode Full Screen อยู่แล้วก็ไม่ต้องปรับนะครับ ในบางเกมส์เราก็สามารถปรับเป็นโหมด Full Screen ในเกมส์ได้เลย แต่สำหรับเกมส์ไหนที่เราไม่สามารถปรับเป็น Mode Full Screen ในเกมส์ได้ให้กดปุ่ม Alt พร้อมกับปุ่ม Enter เพื่อเข้าโหมด Full Screen)</li>
<li>เมื่อเข้าเกมส์ แบบ Full Screen เรียบร้อยแล้ว ให้ กดปุ่ม Alt พร้อมปุ่ม Tab เพื่อกลับออกมาที่หน้าจอ Desktop โดยไม่ได้ปิดตัวเกมส์</li>
<li>ให้เราไปที่ Start > Control Panel > Appearance and Personalization > Display > Adjust Resolution แล้วปรับความละเอียดหน้าจอเป็น 1024x768 พิกเซล</li>
<li>*วิธีปรับความละเอียดหน้าจอแต่ละ OS จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับ OS ที่คุณใช้อยู่นะครับ ในที่นี้ผมใช้ OS เป็น Windows 7</li>
<li>เมื่อเลือกความละเอียดหน้าจอเป็น 1024x768 พิกเซลแล้ว ให้เรากด OK เพื่อปรับเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอ</li>
<li>ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นการ์ดจอ หรือเมนบอร์ดของแต่ละคนนะครับ ถ้าเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Intel ให้เข้าไปที่ Start > Control Panel > Appearance and Personalization > Display > Adjust Resolution > Advanced Settings > Intel Graphics and Control Panel</li>
<li> ตรง Scaling ให้เลือกเป็น Maintain Display Scaling</li>
<li>จากนั้นให้เรากลับเข้าเกมส์อีกครั้ง โดยคลิกที่เกมส์ในแถบเมนูหลักด้านล่าง หรือกดปุ่ม Alt ค้างไว้แล้วกดปุ่ม Tab เพื่อเลือกเปิดเกมส์ที่เราเปิดไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา</li>
<li>กดปุ่ม Alt พร้อมกับปุ่ม Tab เพื่อกลับออกมาที่หน้าจอ Desktop อีกครั้ง</li>
<li>ให้เราไปที่ Start > Control Panel > Appearance and Personalization > Display > Adjust Resolution อีกครั้ง แล้วปรับความละเอียดหน้าจอกลับเป็น 1920x1080 พิกเซล หรือความละเอียดแบบ Wide Screen อื่นๆ ตามขนาดหน้าจอของท่าน</li>
<li>เมื่อเลือกความละเอียดหน้าจอแบบ Wide Screen ตามต้องการแล้ว ให้เรากด OK เพื่อปรับเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอ</li>
<li>กลับเข้าเกมส์ที่เราเปิดไว้ก่อนหน้านี้ จะพบว่าเกมส์จะคงอัตราส่วนแล้ว คือหน้าจอเกมส์ไม่ขยายออกจนเต็มด้านข้าง</li>
<li>หลังจากนี้ เมื่อเข้าเกมส์ครั้งต่อๆ ไป หน้าจอเกมส์ก็จะคงอัตราส่วนแบบนี้ไปตลอด ไม่ต้องมาปรับเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอซ้ำอีก</li>
</ol>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเล่นเกมส์ แบบ Full Screen โดยที่หน้าจอเกมส์จะคงอัตราส่วนเดิมไว้ ทำให้ขนาดหน้าจอเกมส์ไม่ถูกยืดขยายออกด้านข้าง ลองเอาวิธีนี้ไปใช้กันดูนะครับ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับทุกคนนะครับ ส่วนคราวหน้าผมจะมีเทคนิคอะไรเกี่ยวกับด้าน IT มาแชร์กันอีก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ</div>
<br />AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-33237968915671836832014-10-13T08:49:00.000+07:002016-09-19T19:54:02.609+07:00วิธีถนอมแบตเตอรรี่โทรศัพท์มือถือไม่ให้บวมหรือเสื่อม<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBEycAuGY-87wdUtZSfIgylwWIqiOg6Ine_dypffgrT-ehF8CtemqNnoGfgzpsk4HhMYOoDDKussNM7yEnXzkTIoGWgqrW3C-5XDcsWTfSxglYzwdJLP_76rxZrfe8QZHpMormsNt0lU0/s1600/post-mobile-battery.png" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBEycAuGY-87wdUtZSfIgylwWIqiOg6Ine_dypffgrT-ehF8CtemqNnoGfgzpsk4HhMYOoDDKussNM7yEnXzkTIoGWgqrW3C-5XDcsWTfSxglYzwdJLP_76rxZrfe8QZHpMormsNt0lU0/s1600/post-mobile-battery.png" height="168" width="320" /></a></div>
เล่าจากประสบการณ์ตรงเลยนะครับ เมื่อ 2-3 วันก่อน โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy Note 2 ที่ผมใช้อยู่ มีอาการ ชาร์จแบตเตอรี่เสร็จไวมากผิดปรกติ 30 นาที ก็เต็ม 100% พอใช้ไปซักพัก เมื่อเหลือแบตเตอรี่ซัก 50% เครื่องก็ค้าง แล้วก็ดับไปเฉยๆ เปิดเครื่องใหม่ก็ไม่ติด ไม่รู้ทำไง เลยลองเสียบที่ชาร์จแบตเตอรี่ดู ปรากฎว่าแบตเตอรี่หมด ก็รู้ทันทีเลยว่าอาการแบบนี้ แบตเตอรี่มือถือเสื่อมแน่นอน<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
แต่ใช้มาปีเดียวเอง ทำไมมันถึงเสื่อมเร็วขนาดนี้ จากนั้นผมก็ลองแกะหลังเครื่องออกมาดู พบว่า แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือของผมบวมมาก สังเกตได้ชัดเจนเลย พอใส่กลับลงไปแทบจะปิดฝาหลังเครื่องกลับลงไปไม่ได้เลย<br />
<a href="https://www.blogger.com/null" name="more"></a><br />
<br />
ต่อมาวันรุ่งขึ้นผมเลยไปหาซื้อแบตเตอรี่ใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำมาเปลี่ยนใหม่ โดยได้ไปซื้อแบตเตอรี่ใหม่จาก shop Samsung มาในราคา 890 บาทถ้วน รับประกันแค่ 5 วัน(ถ้าจำไม่ผิด) พนักงานบอกว่าถ้าซื้อที่สาขาใหญ่แถวสีลม จะได้ประกัน 6 เดือน แต่เนื่องจากไม่อยากเดินทางไปไกลจึงซื้อสาขานี้เลย หลังจากนั้นผมก็ได้สอบถามพนักงานดูเพื่อขอคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับการใช้งานแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งผมก็ได้ความรู้ใหม่มาเพิ่ม จากนั้นผมก็ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆ มาอีก จึงอยากมาแบ่งปันกันดังนี้ครับ<br />
<br />
<h3>
<b>ดูอย่างไรว่าแบตเตอรี่มือถือเสื่อมแล้ว ?</b></h3>
<br />
<ol>
<li>แบตเตอรี่มือถือหมดเร็วผิดปรกติ</li>
<li>มือถือดับไปเฉยๆ ทั้งที่แบตเตอรี่ยังไม่หมด</li>
<li>ชาร์จไฟแบตเตอรี่มือถือเต็มเร็วผิดปรกติ</li>
<li>แบตเตอรี่บวม</li>
</ol>
<br />
<b><br /></b>
<br />
<h3>
<b>ใช้มือถืออย่างไรไม่ให้แบตเตอรี่มือถือเสื่อมเร็ว ?</b></h3>
<br />
<ol>
<li>อย่าเสียบแบตเตอรี่ทิ้งไว้เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มแล้ว<br />(ข้อนี้โดนเต็มๆ เพราะผมชอบชาร์จมือถือไว้ตอนก่อนนอน)</li>
<li>อย่าเล่นเกมส์บนโทรศัพท์มือถือขณะที่กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่<br />(เกมส์เศรษฐีนี่แหละครับ ติดงอมแงม แบตเตอรรี่ก็หมดเร็วเหลือเกินเวลาเล่นเกมส์ เลยเสียบไว้ซะเลย)</li>
<li>อย่าให้อุณหภูมิแบตเตอรี่มือถือร้อนเกินไป<br />การเล่นเกมส์หนักๆที่ต้องใช้ Graphic หรือภาพเคลื่อนไหวเยอะจะทำให้อุณหภูมิแบตเตอรี่ร้อนอย่างรวดเร็ว ไม่ควรใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้แบตเตอรี่มือถือเสื่อมเร็ว</li>
<li>อย่าใช้แบตเตอรี่มือถือจนหมดเกลี้ยง 0%<br />ถ้าแบตเตอรี่ใกล้จะหมด เช่น เหลือแค่ 5% อย่าฝืนใช้ต่อ ให้รีบเสียบที่ชาร์จแบตเตอรี่ หรือปิดเครื่องไปเลย เราควรจะเหลือไฟเลี้ยงไว้ในแบตเตอรี่มือถือเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่มือถือเสื่อมเร็ว เสมือนแบตเตอรี่รถยนต์ครับ ที่เราต้องสตาร์ทรถอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้มีไฟเลี้ยงในแบตเตอรี่ กรณีแบตเตอรี่มือถือก็คล้ายคลึงกัน</li>
<li>ในแต่ละสัปดาห์ควรชาร์จไฟแบตเตอรี่มือถือให้เต็ม 100% อย่างน้อย 1 ครั้ง<br />สาเหตุก็เพื่อให้ไฟฟ้าได้เข้าไปเลี้ยงแบตเตอรี่มือถือครบทั่วทั้งก้อน ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ได้</li>
</ol>
<br />
<br />
<h3>
<b>แบตเตอรี่มือถือบวมหรือเสื่อมแล้วทำอย่างไร ?</b></h3>
<br />
ทิ้งครับ อย่าไปเสียดาย ถึงมันจะยังใช้ต่อได้ก็ไม่ควรใช้นะครับ อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องโทรศัพท์ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทิ้งขยะเฉยๆนะครับ เพราะเป็นขยะมีสารเคมีอันตราย เราควรแยกขยะให้ชัดเจน หรือไม่ก็ตามห้างสรรพสินค้า จะมีกล่องทิ้งแบตเตอรี่มือถือโดยเฉพาะตั้งอยู่นะครับ ให้เอาไปหย่อนไว้ในนั้นก็ดีครับ<br />
<br />
<br />
ทั้งหมดนี่ก็คือข้อแนะนำในการใช้งานแบตเตรี่มือถือให้ไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปรกตินะครับ ซึ่งผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นะครับ ส่วนคราวหน้าจะมีบทความ หรือเกร็ดความรู้อะไรน่าสนใจอีก จะเอามาแบ่งปันกันนะครับ<br />
<br />
<br />AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-33878524960827046152014-10-09T16:32:00.000+07:002015-01-30T09:52:13.782+07:00โฮสติ้งฟรีที่ไหนดี (ตอนที่ 2)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuAdDLkdpieWU-iAvduAkbTaQpSx01pyNOd7SNeW1-tKHfgseUkmOS2fKLIDa0kw51PU1nKq7X48gN8kaTIeUzlevC45MlGLz4I0B8vHhEb7g6Qs3xQ6Sd1gLe6RVum4qT1-FBuaUWzdI/s1600/aimbestdesign-post-host.png" /></u></div>
<br />
ท้าวความเดิมตอนที่แล้วนะครับ ในบทความก่อนหน้านี้ผมได้แนะนำโฮสติ้งฟรีไปถึง 2 ที่เด็ดๆ ด้วย กัน คราวนี้ผมจะมาแนะนำโฮสติ้งดีๆ เพิ่มเติมอีก เผื่อเป็นทางเลือกให้ทุกท่านนะครับ<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
โฮสติ้งฟรีที่ผมจะกล่าวถึงในคราวนี้จะมีบางตัวที่ให้พื้นที่ค่อนข้างน้อยนะครับ แต่จะได้ในเรื่องของความเสถียรที่ดีขึ้น และแน่นอนว่าจะต้องรองรับ PHP และ MySQL Database อีกเช่นเคย<br />
<br />
<br />
<h3>
<u><b>โฮส</b>ติ้ง<b>ฟรี</b>ที่รองรับ PHP และ MySQL ที่ผมแนะนำเพิ่มเติมมีดังต่อไปนี้ครับ</u></h3>
<br />
<b>3. AwardSpace.com</b><br />
<br />
พื้นที่เว็บไซต์ (Disk Space): 0.25 GB หรือ 250 MB<br />
ปริมาณรับส่งข้อมูล (Data Transfer): 5 GB/เดือน<br />
จำนวนฐานข้อมูล MySQL (MySQL Database): 1<br />
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: ปานกลาง<br />
ความเสถียรของ Server: ปานกลาง (99%)+<br />
บังคับโฆษณาบนเว็บไซต์: ไม่บังคับ<br />
<br />
<b>โฮสติ้งฟรี</b>ของที่นี่ ผมเคยใช้เป็นที่แรกเลยครับ ส่วนตัวผมว่าโอเคนะครับ ถึงแม้ว่าจะให้พื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่ก็ได้ความเสถียรที่ดี คือ ไม่ค่อยเจอปัญหา Server ทำงานหนักเกินไป ทำให้ไม่ค่อยเจอปัญหาเข้าเว็บไซต์ไม่ได้ เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างน้อยจึงไม่เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีรูปภาพจำนวนมาก เหมาะกับเฉพาะเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็ก ส่วนความเร็วในการโหลดจากประเทศไทยก็จะเร็วบ้างช้าบ้างคล้ายๆ โฮสติ้งฟรีทั่วไป และข้อดีอีกอย่างหนึ่ง คือ ที่นี่ไม่ลบ Account เราออก ในกรณีที่ไม่ได้เข้าใช้ Account เป็นเวลานานๆ ยกตัวอย่างของผมเลยนะครับ ผมฝึกทำเว็บไซต์บนโฮสติ้งฟรีที่นี่ไว้ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงตอนนี้ลอง Log in เข้าไป ปรากฎว่า Account ยังใช้งานได้อยู่เลย เว็บไซต์ก็เข้าได้ด้วย ไม่โดนระงับ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโฮสติ้งฟรีส่วนใหญ่ จะลบ Account เราออกเมื่อเราไม่ได้เข้าใช้เป็นเวลานาน เพื่อเคลียร์พื้นที่และทรัพยาการต่างๆ ให้ผู้ที่ต้องการใช้บริการโฮสติ้งฟรีรายอื่นแทน ส่วนเรื่องของภาษา โฮสติ้งฟรีของที่นี่ไม่มีภาษาไทยนะครับ ดังนั้นผู้ที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษจะลำบากนิดนึง นอกจากนี้ ที่นี่มี Sub Domain Name ชื่อค่อนข้างสวยครับ เช่น AimBestDesign.dx.am ในกรณีที่เราไม่ต้องการจะจด Domain Name ก็สามารถใช้ Sub Domain Name .dx.am ได้ครับ ค่อนข้างสั้นจำง่าย<br />
<br />
สรุปคือสำหรับ<b>โฮสติ้งฟรี</b>นี้นะครับ จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการความเสถียรมากหน่อยและเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ไม่มีรูปภาพประกอบบนเว็บไซต์มากมายนัก เพราะที่นี่ให้พื้นที่ค่อนข้างน้อย และโหลดรูปช้า<br />
<br />
<b>4. </b><b>FreeHosting.com</b><br />
<br />
พื้นที่เว็บไซต์ (Disk Space): 10 GB หรือ 10000 MB<br />
ปริมาณรับส่งข้อมูล (Data Transfer): 250 GB/เดือน<br />
จำนวนฐานข้อมูล MySQL (MySQL Database): 1<br />
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: เร็วบ้างช้าบ้าง<br />
ความเสถียรของ Server: ปานกลาง (99%)<br />
บังคับโฆษณาบนเว็บไซต์: ไม่บังคับ<br />
<br />
<b>เว็บโฮสติ้งฟรี</b>ของที่นี่ ให้ทรัพยากรเยอะดีจริงๆนะครับ เพราะให้พื้นที่มากถึง 10 GB ด้วยกัน เรียกได้ว่าเหลือใช้เลย ส่วน Data Transfer รายเดือนก็มากถึง 250 GB/เดือน รับส่งข้อมูลกันมมันส์เลย เพราะให้ Bandwidth ค่อนข้างเยอะ ส่วนในเรื่องของความเสถียรก็อยู่ในระดับกลางๆ พอๆกับโฮสติ้งฟรีอื่นๆ ส่วนความเร็วก็จะเร็วบ้างช้าบ้างสลับกันไป แต่ข้อเสียของที่นี่ คือ เราจะต้องมี Domain Name มาก่อน เพราะที่นี่ไม่มี Sub Domain Name ให้ หรือถ้าอยากซื้อ Domain Name จากที่นี่ก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนเรื่องราคา Package ต่างๆ ผมจะไม่พูดถึงนะครับ อีกอย่างคือโฮสติ้งฟรีที่นี่ไม่รองรับภาษาไทยนะครับ ใครไม่เก่งภาษาอังกฤษจะลำบากนิดหน่อย<br />
<br />
สรุปคือโฮสติ้งฟรีนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่มี Domian Name อยู่แล้วและต้องใช้ทำเว็บไซต์ที่มีรูปเยอะๆ หรือข้อมูลเยอะๆ เพราะที่นี่ให้พื้นที่และปริมาณการรับส่งข้อมูลต่อเดือนค่อนข้างมาก<br />
<br />
สำหรับวันนี้ผมขอแนะนำเพิ่มเติมเป็น 2 ตัวนี้นะครับ และหวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังหา<b>เว็บโฮสติ้งฟรี</b>เพื่อฝึกทำเว็บไซต์กันนะครับ ส่วนครั้งต่อไป ผมจะมาแนะนำตัวไหนเพิ่มอีก อย่าลืมแวะมาอ่านกันด้วยนะครับAimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-69629652661949883952014-10-02T13:30:00.001+07:002015-01-30T09:51:11.780+07:00โฮสติ้งฟรีที่ไหนดี (ตอนที่ 1)<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvRVa9kudCjNGrzqF8_Lpx9zfdx0wydlm_Bs3J-0sMFA_xKX3MSqy0AUhzDq-65XUFzFn7sqq6reSFwMZJOTC7K3ps8epQCwNpErZZxB_26thAI1mWhKkbh23ptsrK61lBRnaawoI8I5E/s1600/aimbestdesign-post-host.png" /><br />
<br />
ในปัจจุบันนี้มีผู้ให้บริการโฮสติ้งอยู่มากมายนะครับ ทั้ง<b>โฮสติ้งฟรี</b> และโฮสติ้งแบบมีค่าใช้จ่าย ให้เราได้เลือกใช้บริการกันตามความเหมาะสม ส่วนในบทความนี้ผมจะเน้นไปที่โฮสติ้งแบบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ในช่วงเริ่มฝึกออกแบบและจัดทำเว็บไซต์ใหม่ๆ แน่นอนครับ ผมก็ไม่ค่อยอยากจะเสียเงินเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นเงินยังไม่ค่อยจะมี ก็ต้องประหยัดกันหน่อย จึงได้ตัดสินใจหาโฮสติ้งฟรีมาใช้ดูก่อน ซึ่งผมก็ได้เจอโฮสติ้งมากมายหลายรูปแบบ และแต่ละที่ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป<br />
<br />
ก่อนอื่นขอเล่าให้ฟังก่อนว่าความต้องการของโฮสติ้งขั้นพื้นฐานที่ผมต้องการ คือ จะต้องรองรับ PHP และมี Database ให้อย่างน้อย 1 ฐานข้อมูล ซึ่งโฮสติ้งที่จะแนะนำทั้งหมดก็จะรองรับ 2 อย่างนี้ด้วย<br />
<br />
<br />
<br />
<h3>
<u><b>โฮสติ้งฟรี</b>ที่รองรับ PHP ที่ผมแนะนำ มีดังต่อไปนี้นะครับ</u></h3>
<br />
<b>1. 000webhost.com</b><br />
<br />
พื้นที่เว็บไซต์ (Disk Space): 1.5 GB หรือ 1500 MB<br />
ปริมาณรับส่งข้อมูล (Data Transfer): 100 GB/เดือน<br />
จำนวนฐานข้อมูล MySQL (MySQL Database): 2<br />
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: ปานกลาง<br />
ความเสถียรของ Server: ปานกลาง (99%)<br />
บังคับโฆษณาบนเว็บไซต์: ไม่บังคับ<br />
<br />
<b>โฮสติ้งฟรี</b>ของที่นี่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากนะครับ ส่วนตัวผมว่า ดีนะครับ ยังไม่ถึงกับดีมาก เพราะจากประสบการณ์ที่เคยใช้มา เวลาเข้าเว็บไซต์เราจะเจอข้อความขึ้นว่า Server to busy, please try reload the website a few minutes later ค่อนข้างบ่อย แปลเป็นไทยก็คือ ขณะนี้ Server กำลังทำงานหนัก กรุณาโหลดเว็บไซต์ใหม่อีกครั้งหลังจากผ่านไปซัก 2-3 นาที ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ เพราะทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่สามารถเข้าเว็บไซต์เราได้ แต่ในที่นี้ผมแค่ใช้สำหรับฝึกทำเว็บไซต์ ก็ถือว่าโอเคครับ ก็เป็นตามที่เขียนบอกจริง คือรอประมาณ 2-3 นาทีแล้วกด Reload หน้าเว็บไซต์ก็สามารถเข้าได้ ส่วนความเร็วในเข้าเข้าเว็บนะครับ เทียบกับ<b>โฮสติ้งฟรี</b>ทั่วๆ ไป ถือว่าปานกลางครับ ถ้าเข้าชมเว็บไซต์จากประเทศไทยจะปานกลาง แต่ถ้าเข้าจากต่างประเทศ เช่น USA จะเร็วครับ ส่วนการรับส่งไฟล์ในผ่าน FTP จากประเทศไทยอยู่ระดับปานกลาง โฮสติ้งนี้หน้าเว็บไม่มีภาษาไทยให้นะครับ ดังนั้นใครไม่เก่งภาษาอังกฤษจะลำบากหน่อย ในโฮสติ้งนี้จะมีโฆษณาบนหน้าเว็บด้วยนะครับ แต่ไม่บังคับว่าต้องมี สามารถเอาออกได้<br />
<br />
สรุปคือสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ และกลุ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่เป็นชาวต่างชาติด้วย ผมขอแนะนำโฮสติ้งนี้ครับ<br />
<br />
<b>2. Hostinger.in.th</b><br />
<br />
พื้นที่เว็บไซต์ (Disk Space): 2 GB หรือ 2000 MB<br />
ปริมาณรับส่งข้อมูล (Data Transfer): 100 GB/เดือน<br />
จำนวนฐานข้อมูล MySQL (MySQL Database): 2<br />
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: เร็วบ้างช้าบ้าง<br />
ความเสถียรของ Server: ปานกลาง (99%)<br />
บังคับโฆษณาบนเว็บไซต์: ไม่บังคับ<br />
<br />
<b>โฮสติ้งฟรี</b>ของที่นี่ ผมว่าดีนะครับ สมัครค่อนข้างง่าย ส่วนความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เมื่อเข้าเว็บไซต์จากประเทศไทยบางทีจะโหลดเร็วเลย แต่บางทีก็ช้าก็มี และถ้าลองเข้าเว็บไซต์จากต่างประเทศ เช่น USA จะค่อนข้างช้า ส่วนความเร็วในการรับส่งไฟล์ผ่าน FTP จากประเทศไทยถือว่าดีครับ เร็วเกือบเท่ากับโฮสติ้งเสียเงินเลย ติตตรงเรื่องของความเสถียรอยู่บ้าง ตรงที่บางครั้งไม่สามารถเข้าเว็บไซต์ได้เป็นชั่วโมงซึ่งก็ถือว่าปรกติครับ เพราะถ้าอยากให้เสถียรมากขึ้นก็ต้องอัพเกรดเป็น Premium หรือ Business ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเป็นรายเดือนไป ข้อดีเพิ่มเติมอีกอย่างคือเว็บไซต์เป็นภาษาไทย และนอกจากนี้โฮสติ้งนี้ไม่มีโฆษณาบนหน้าเว็บครับ<br />
<br />
สรุปคือสำหรับคนที่ต้องการความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ และรับส่งไฟล์ผ่าน FTP จากประเทศไทย ผมแนะนำโฮสติ้งนี้ครับ<br />
<br />
สำหรับวันนี้ผมขอแนะนำ 2 ตัวนี้ก่อนครับ หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังหา<b>โฮสติ้งฟรี</b>เพื่อฝึกทำเว็บไซต์กันนะครับ ส่วนคราวหน้าจะแนะนำตัวไหนเพิ่มเติมอีก คอยติดตามกันด้วยนะครับAimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2854162020573850744.post-34343306732432286422014-06-07T23:31:00.000+07:002014-10-23T12:29:07.040+07:00วิธีเลือกผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ทุกคนคงทราบกันดีครับว่า ผู้ให้บริการ<b>รับทำเว็บไซต์</b> และ<b>รับออกแบบเว็บไซต์</b>ในปัจจุบันนี้มีเยอะมาก และมีอัตราการแข่งขันที่สูงมาก ลองพิสูจน์กันได้ง่ายๆ โดยการ Search บน Google โดยพิมพ์คำว่า "รับทำเว็บไซต์" ลงไปในการค้นหา คุณจะพบว่ามีผลการค้นหารวมมากกว่า 50 ล้านเว็บไซต์ คราวนี้เราก็ต้องลองคลิกเข้าไปดูรายละเอียดการให้บริการในแต่ละเว็บไซต์ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งคนส่วนมากก็จะไล่คลิกดูในหน้าแรกๆ ก่อน พอถึงซักหน้า 5 ก็จะเริ่มเหนื่อยที่จะค้นหาต่อ โดยหารู้ไม่ว่าอาจมีผู้ให้บริการที่ดีมาก แต่กลับอยู่ในผลการค้นหาอันดับหลังๆ เพราะการที่เราต้องเสียเวลารอเว็บไซต์แต่ละเว็บ ซึ่งบางเว็บไซต์ก็ต้องใช้เวลาในการโหลดนาน<br />
<a name='more'></a> บางเว็บไซต์ก็หาข้อมูลได้ยาก ต้องเปิดหลายหน้ากว่าจะเจอข้อมูลที่เราต้องการ พอเจอแล้วก็ต้องพิจารณาอีก เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์รายอื่น ซึ่งเสียเวลามากพอสมควร และผู้ให้บริการแต่ละราย ก็มีบริการในรูปแบบที่แตกต่างกันอีกมากมาย ดังนั้น ผมจึงอยากจะเสนอวิธีการเลือกผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ ว่าควรเลือกอย่างไร เพื่อเป็นแนวทาง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้ท่านได้ผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ที่ดี<br />
<br />
<h3>
วิธีการเลือกผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ หรือผู้ให้บริการรับออกแบบเว็บไซต์ มีดังนี้</h3>
<ol>
<li><u>อัตราค่าบริการจัดทำเว็บไซต์ และค่าใช้จ่ายรายปี ต้องสมเหตุสมผล</u><br />แน่นอนครับ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่เราต้องดู โดยเราควรดูที่งบของเราก่อน และลองเทียบราคาค่าจัดทำกับผู้ให้บริการแต่ละราย ในบางกรณีคุณจะพบว่า ผู้ให้บริการบางราย ไม่มีอัตราค่าบริการบอกไว้บนเว็บไซต์ ซึ่งในกรณีนี้ คุณจะต้องใช้วิธีส่งรูปแบบเว็บไซต์ที่คุณต้องการคร่าวๆ ไปให้ผู้ให้บริการรายนั้นๆ และรอให้ทางนั้นส่งใบเสนอราคากลับมา</li>
<li><u>ผลงานที่ผ่านมาไม่จำเป็นต้องเยอะ แต่ต้องดูดี และมีมาตรฐาน</u><br />โดยคุณควรลองคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์ที่ผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์รายนั้นๆ ทำขึ้น ลองคลิกดูทุกหน้าเลยครับถ้าเป็นไปได้ และดูว่าผลงานดูดีขนาดไหน มาตรฐานของการออกแบบดีขนาดไหน ผลงานบางชิ้นสวย บางชิ้นไม่สวยหรือไม่ ถ้ามาตรฐานดีสม่ำเสมอ งานเราก็ออกมาดีเช่นกัน และดูงานออกแบบว่าสวยถูกใจคุณหรือไม่</li>
<li><u>การให้บริการหลังการจัดทำเว็บไซต์ก็สำคัญ</u><br />ผู้ให้บริการบางรายจะมีบริการหลังการขายให้โดยคิดราคารวมไปกับค่าจัดทำเว็บไซต์แล้ว แต่บางรายก็ไม่ได้รวม ดังนั้นเราต้องดูอัตราค่าบริการหลังการขายเผื่อไว้ด้วยครับ เผื่อในกรณีที่เราต้องแก้ไขเว็บไซต์</li>
<li><u>มีการเซ็นสัญญาว่าจ้างงานรับทำเว็บไซต์</u><br />ผู้ให้บริการที่ดีควรมีการออกสัญญาว่าจ้างงานอย่างเป็นทางการ และมีการเซ็นลายเซ็นทั้ง 2 ฝ่าย</li>
<li><u>ช่องทางการติดต่อของผู้ให้บริการต้องสะดวกและรวดเร็ว</u><br />ผู้ให้บริการควรมีช่องทางการติดต่อหลายช่องทาง และควรตอบกลับมาหาเราได้อย่างรวดเร็ว แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อลูกค้า</li>
</ol>
<div>
<br /></div>
<div>
นี่ก็เป็นวิธีการเลือกผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ที่ผมแนะนำครับ ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแนวทางที่ดีในการช่วยให้คุณ ได้เลือกใช้ผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ หรือผู้ให้บริการรับออกแบบเว็บไซต์ที่ดี และคุ้มค่าเงินที่สุด </div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>AimBestDesign</b> ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของผู้ใหบริการ<a href="http://www.aimbestdesign.com/" target="_blank">รับทำเว็บไซต์</a> และ<a href="http://www.aimbestdesign.com/" target="_blank">รับออกแบบเว็บไซต์</a>แบบครบวงจรครับ หากท่านสนใจบริการรับทำเว็บไซต์ หรืออยากขอคำปรึกษาเกี่ยวกับบริการรับทำเว็บไซต์ ติดต่อผมได้ครับที่ <a href="http://www.aimbestdesign.com/" target="_blank">AimBestDesign</a></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
AimBestDesignhttp://www.blogger.com/profile/10807918903398860479noreply@blogger.com0